หน้าหลัก
บริการ
ข่าวและบทความ
เกี่ยวกับเรา
ติดต่อ
ภาษา
เข้าสู่ระบบ

หน้าหลัก บทความสุขภาพ

รู้จัก “แคดเมียม” ต้นเหตุที่ก่อให้เกิดโรคมากมาย

รู้จัก "แคดเมียม" ต้นเหตุที่ก่อให้เกิดโรคมากมาย แคดเมียม (Cadmium) จะพบได้ในอาหาร น้ำ เหมือง และในส่วนน้ำทิ้ง น้ำเน่าเสีย เมื่อร่างกายสูดดมสารแคดเมียม จะเก็บสะสม ไว้ในตับ และส่วนของหมวกไต (renal cortex) สารแคดเมียมสามารถตกค้างอยู่ในร่างกายมนุษย์ได้ถึง 30 ปี นอกจากนี้สารแคดเมียมจะพบได้ในปอด และมีความเสี่ยงเกิดอันตรายส่วนของไต ทำให้หน้าที่การกรองของไต (GFR) ลดลง ร่างกายสามารถรับสารแคดเมียมได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมเช่น การกินอาหารทะเลที่มีการปนเปื้อนของสารแคดเมียม การได้รับควันของสารดังกล่าวจากการสูดดมในเหมืองหรือจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากโรงงาน รวมถึงน้ำเสียของโรงงาน พิษของแคดเมียมและโรคที่เกิดขึ้น การได้รับแคดเมียมจำนวนมากอาจทำให้เกิดพิษฉับพลันได้ พิษเฉียบพลันส่วนใหญ่เกิดจากการหายใจเอาฝุ่นเข้าไป โดยทั่วไประยะเวลาหลังจากสัมผัสสารจะยาวนาน 2-3 ชั่วโมงก่อนแสดงอาการ อาการเริ่มแรกจะมีการระคายเคืองเล็กน้อยของทางเดินหายใจส่วนต้น อีก 2-3 ชั่วโมงต่อมาจะมีอาการไอ เจ็บปวดในทรวงอก เหงื่อออกและหนาวสั่น ซึ่งเป็นอาการที่คล้ายกับการติดเชื้อทั่วไปของทางเดินหายใจส่วนต้น ต่อมา 8-24 ชั่วโมง หลังจากสัมผัสสารอย่างฉับพลัน อาจเห็นอาการระคายเคืองอย่างแรงที่ปอด เจ็บปวดในทรวงอก หายใจลำบาก ไอ และอ่อนเพลีย อาการหายใจลำบากจะรุนแรงขึ้น เมื่อเกิดน้ำท่วมปอดตามมา อันตรายจากกรณีเช่นนี้มีถึง 15% ผู้ป่วยที่รอดชีวิตอาจมีฟองอากาศในเนื้อเยื่อ และเนื้อปอดปูดนูนออกมา ซึ่งต้องใช้เวลานานในการรักษาให้หาย โรคจากสารแคดเมียม ดังนี้ 1. โรคปอดเรื้อรัง การได้รับแคดเมียมนานๆ และในปริมาณมากโดยเฉพาะจากการหายใจ จะทำให้เกิดการอุดตันภายในปอด ซึ่งเป็นเพราะมีการอักเสบของหลอดลม มีพังผืดจับในทางเดินหายใจส่วนล่าง และมีการทำลายของถุงลมซึ่งจะกลายเป็นโรคถุงลมโป่งพองในที่สุด 2. โรคไตอักเสบ จะแสดงออกโดยมีการอักเสบของไต โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ท่อในไต ซึ่งจะพบแคดเมียมในปัสสาวะสูง มีโปรตีน กลูโคสสูงในปัสสาวะ การทำงานทางท่อในไตเสียการทำงาน พบว่ามีการสะสมของแคดเมียมที่หมวกไต ก่อให้เกิดการอักเสบและเป็นอันตรายต่อไป และอาจเป็นไตวายได้ในที่สุดการเกิดโรคไตอักเสบนี้จะเป็นแบบถาวร แต่ส่วนใหญ่โรคที่เกิดจากแคดเมียมมักเป็นชนิดเรื้อรัง อาการของผู้รับสารแคดเมียมติดต่อกันเป็นเวลานาน ผู้ป่วยจะเกิดอาการเจ็บป่วยอย่างทรมาน โดยบริเวณ แขน ขา สะโพก และบริเวณฟัน จะพบมีวงแหวนสีเหลืองติดกับเหงือก เรียกว่า วงแหวนแคดเมียม และจะมีอาการปวดร้าวสะสมนานถึง 20-30 ปี และเมื่อร่างกายเดินไม่ไหว ก็จะเกิดการ กดกระดูกสันหลัง หรือที่เรียกว่าโรคอิไต-อิไต (Itai-Itai disease) อาการที่ได้รับสารแคดเมียมจากการกิน จะทำให้เกิดการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย มีปวดศีรษะ กล้ามเนื้อ ปวดท้อง และปอด โดยไตและตับจะถูกทำลาย ถ้าหากหายใจควันเข้าไปในปอด ก็จะมีอาการเจ็บคอ หายใจสั่น มีเสมหะเป็น เลือด น้ำหนักลด โลหิตจาง การหายใจจะลำบากมากขึ้นสุดท้ายก็จะไตวาย หากพบว่ามีความเสี่ยงจากการรับสารหรือมีอาการ สามารถตรวจสุขภาพได้ที่ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ โทร. 1715 ต่อ 122, 124 ที่มา: 1. https://www.foodnetworksolution.com/.../cadmium-%E0%B9%81... 2. งานบริการเทคนิคการแพทย์ชุมชนศูนย์ความเป็นเลิศการบริการสุขภาพและมาตรฐานวิชาชีพ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมเปิดให้บริการแบบเต็มรูปแบบเร็ว ๆ นี้ โรงพยาบาลเออีซี AEC Hospital “การรักษาพยาบาล ที่ไร้พรมแดน” aechospital.com

ฮีทสโตรก ภัยร้าย..อันตรายถึงชีวิต

“ฮีทสโตรก” หรือ “โรคลมแดด” คือภาวะที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับความร้อนภายในร่างกายได้ ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นเรื่อย ๆ จะมีอาการตัวร้อน แต่ไม่มีเหงื่อออก หากปล่อยทิ้งไป อาจส่งผลทำให้ชักกระตุก เกร็ง หมดสติและถึงขั้นเสียชีวิต อาการเสี่ยงของฮีทสโตรก - อุณหภูมิในร่างกายสูง - หน้ามืด เพ้อ - กระสับกระส่าย - ชักเกร็ง - มึนงง - หายใจเร็ว - หัวใจเต้นผิดจังหวะ วิธีป้องกันเบื้องต้น - หลีกเลี่ยงสถานที่ ที่มีแดดจัด - สวมเสื้อระบายอากาศ-สีสว่าง - ควรดื่มน้ำ ชม. ละ 1 ลิตร แม้จะไม่รู้สึกกระหายน้ำ - งดดื่มสุรา กาแฟ - งดกิจกรรมกลางแจ้งที่มีแดดวิธีป้องกัน - การช่วยเหลือเบื้องต้น - นำผู้ป่วยเข้าที่ร่ม ที่มีอากาศถ่ายเท ไม่โดนแดด - ควรปลดเสื้อผ้าให้หลวม เพื่อระบายอากาศ - จัดท่าให้นอนหงายราบ ยกขาให้สูงทั้ง 2 ข้าง - ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัว เปิดพัดลมช่วยระบาย - หากไม่หมดสติ ให้ดื่มน้ำมาก ๆ - หากอาการแย่ลง ให้รีบนำส่ง รพ. ทันที พร้อมเปิดให้บริการแบบเต็มรูปแบบเร็ว ๆ นี้ โรงพยาบาลเออีซี AEC Hospital “การรักษาพยาบาล ที่ไร้พรมแดน” สอบถามเพิ่มเติม Line Official : https://lin.ee/A6fw75A เว็บไซต์ : www.aechospital.com TIKTOK : https://www.tiktok.com/@aec.hospital?_t=8kfpY9TdmBV&_r=1 Google Maps: https://maps.app.goo.gl/9roXpf9kQ8LSPC5o7?g_st=ic

6 โรค ต้องระบุ ในใบรับรองแพทย์ ตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว

ใบรับรองแพทย์การตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวต้องตรวจอะไรบ้าง? การตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว ในใบรับรองแพทย์จะต้องระบุตรวจผ่านให้ครบทั้ง 7 โรค ดังนี้ 1.“โรคเรื้อน” เป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากเชื้อ มัยโคแบคทีเรียม เลแพร เชื้อนี้ชอบ อาศัยอยู่ในเส้นประสาทและผิวหนัง เมื่อร่างกายพยายามกำจัดเชื้อนี้เส้นประสาทจึงถูกทำลายและทำให้เกิดอาการทางผิวหนังตามไปด้วย หากไม่รีบรักษาจะทำให้เกิดความพิการของมือ เท้า และตา 2.“โรคยาเสพติดให้โทษ“ อาการทางจิตจะเกิดขึ้น ต่อ การเสพยาเข้าไปใน ปริมาณมาก ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน คลุ้มคลั่ง ขาดสติ หวาดระแวงกลัวคนจะมาทำร้าย ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ อาจทำร้ายตัวเองและ ผู้อื่น 3. “วัณโรคระยะอันตราย“ ผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคเป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงชนิดหนึ่ง ซึ่ง โดยมากแล้วจะมีผลต่อปอด หรือที่เรียกว่า "วัณโรคปอด" ทั้งนี้ วัณโรคปอดเป็นโรคติดต่อและสามารถแพร่สู่คนผ่านละอองฝอยจากการไอและจามได้ 4. “โรคพิษสุราเรื้อรัง“ คือ กลุ่มที่ดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากติดต่อกันมาเป็นระยะ เวลานานจนไม่สามารถเลิกดื่มได้ ทำให้ส่งผลเสียต่อสภาพร่างกาย หรือการทํางาน ครอบครัว และสังคมรอบข้าง และเพื่อไม่ให้สุขภาพของผู้ป่วยมีปัญหามากขึ้นไปอีก การ หยุดดื่ม..ถือว่าเป็นทางแก้ปัญหาเพียงทางเดียว และที่สำคัญ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของ แพทย์เพื่อให้แนวทางการรักษาเป็นไปอย่างถูกวิธี 5. “โรคเท้าช้าง“ เป็นโรคที่เกิดจากหนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย มีลักษณะคล้ายเส้นด้าย อาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลือของคน โดยมียุงเป็นพาหะนำโรคมีอาการที่เห็นได้ชัด คือ บา แขน หรืออวัยวะเพศบวมโตผิดปกติ เนื่องจากภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลือง 6. “โรคซิฟิลิสในยะระที่ 3“ โรคซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อ แบคทีเรีย ทรีโพนีมาพาลลิดัม (Treponema pallidum) เมื่อได้รับเชื้อจะกระจายไป ตามกระแสโลหิต ทำให้เกิดพยาธิสภาพได้เกือบทุกอวัยวะ ระยะที่สาม (ระยะแฝง) ระยะ นี้จะไม่ ปรากฏ อาการใดๆของโรค แต่สามารถตรวจพบเชื้อได้ในกระแสเลือด ผลเลือด ซิฟิลิสเป็นบวก ในสตรีที่มาฝากครรภ์และผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์มักพบโรค ซิฟิลิสระยะแฝง มากกว่าระยะอื่น 7. ตรวจการตั้งครรภ์ *สำหรับผู้หญิง

บริการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว ต่อ Work Permit

บริการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว [Work permit program] ในราคา 500 บาท ที่ โรงพยาบาลเออีซี ใบรับรองแพทย์การตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว มีรายการตรวจอะไรบ้าง? 1. “โรคเรื้อน” เป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากเชื้อ มัยโคแบคทีเรียม เลแพร เชื้อนี้ชอบ อาศัยอยู่ในเส้นประสาทและผิวหนัง เมื่อร่างกายพยายามกำจัดเชื้อนเส้นประสาทจึงถูก ทำลายและทำให้เกิดอาการทางผิวหนังตามไปด้วย หากไม่รีบรักษาจะทำให้เกิดความพิการของมือ เท้า และตา 2. “โรคยาเสพติดให้โทษ“ อาการทางจิตจะเกิดขึ้น ต่อ การ พารหดเข้าไปใน ปริมาณมาก ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน คลุ้มคลั่ง ขาดสติ หวาดระแวงกลัวคนจะมาทำร้าย ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ อาจทำร้ายตัวเองและ ผู้อื่น เหมือนข่าวที่เห็นกันอยู่บ่อย ๆ ที่ผู้เสพยาปีนป่ายขึ้นไปบนเสาไฟฟ้าหรือที่สูงเพราะ ฤทธิ์ยา 3. “วัณโรคระยะอันตราย“ ผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคเป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงชนิดหนึ่ง ซึ่ง โดยมากแล้วจะมีผลต่อปอด หรือที่เรียกว่า "วัณโรคปอด" ทั้งนี้ วัณโรคปอดเป็นโรคติดต่อและสามารถแพร่สู่คนผ่านละอองฝอยจากการไอและจามได้ 4. “โรคพิษสุราเรื้อรัง“ คือ กลุ่มที่ดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากติดต่อกันมาเป็นระยะ เวลานานจนไม่สามารถเลิกดื่มได้ ทำให้ส่งผลเสียต่อสภาพร่างกาย หรือการทํางาน ครอบครัว และสังคมรอบข้าง และเพื่อไม่ให้สุขภาพของผู้ป่วยมีปัญหามากขึ้นไปอีก การ หยุดดื่ม..ถือว่าเป็นทางแก้ปัญหาเพียงทางเดียว และที่สำคัญ! ควรอยู่ภายใต้การดูแลของ แพทย์เพื่อให้แนวทางการรักษาเป็นไปอย่างถูกวิธี 5. “โรคเท้าช้าง“ เป็นโรคที่เกิดจากหนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย มีลักษณะคล้ายเส้นด้าย อาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลือของคน โดยมียุงเป็นพาหะนำาไทย มีอาการที่เห็นได้ชัด คือ บา แขน หรืออวัยวะเพศบวมโตผิดปกติ เนื่องจากภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลือง 6. “โรคซิฟิลิสในยะระที่ 3“ โรคซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อ แบคทีเรีย ทรีโพนีมาพาลลิดัม (Treponema pallidum) เมื่อได้รับเชื้อจะกระจายไป ตามกระแสโลหิต ทำให้เกิดพยาธิสภาพได้เกือบทุกอวัยวะ ระยะที่สาม (ระยะแฝง) ระยะ นี้จะไม่ปรากฏอาการใดๆของโรค แต่สามารถตรวจพบเชื้อได้ในกระแสเลือด ผลเลือด ซิฟิลิสเป็นบวก ในสตรีที่มาฝากครรภ์และผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์มักพบโรค ซิฟิลิสระยะแฝง มากกว่าระยะอื่น 7. ตรวจการตั้งครรภ์ *สำหรับผู้หญิง

PM 2.5 ภัยร้าย...อันตรายต่อสมอง

PM 2.5 ภัยร้าย...อันตรายต่อสมอง ภาวะมลพิษทางอากาศ ประกอบไปด้วยสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นคาร์บอนมอนอกไซด์ ตะกั่ว ไนโตรเจนไดออกไซด์ โอโซน และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ รวมถึงฝุ่น PM 2.5 ที่เป็นตัวชี้วัดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งเจ้า PM 2.5 ที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้เป็นตัวที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเป็นอย่างมากเสียจนเราอาจคาดไม่ถึง ในปี 2560 มีข้อมูลพบว่าประชากรจำนวน 4.9 ล้านคนทั่วโลกเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศและฝุ่น PM 2.5 คิดเป็น 60% ของการเสียชีวิตเลยทีเดียว (GBD 2017 Risk Factor Collaborators, 2018) ดังนั้นเราคงต้องกลับมาใส่ใจเรื่องปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดจาก PM 2.5 วันนี้ โรงพยาบาลเออีซี (aechospital) จะมาแบ่งปันข้อมูลของ PM 2.5 ให้ทุกคนได้ระวังภัยร้ายของ PM 2.5 กันให้มากขึ้น รู้หรือไม่ PM 2.5 ส่งผลต่อสมองทั้งในระยะสั้นและระยะยาว Particulate Matter 2.5 หรือที่เราเรียกกันสั้นๆว่า PM 2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 ไมโครมิเตอร์หรือเล็กกว่า ซึ่งอนุภาคขนาดเล็กเหล่านี้สามารถผ่านการกรองของขนจมูกเข้าไปสู่ชั้นในสุดของปอดได้ ทำให้ให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ หัวใจและหลอดเลือด หรือมะเร็งปอด ไม่เพียงเท่านี้ PM 2.5 ยังส่งผลต่อสมองอีกด้วย ในปัจจุบันเริ่มมีงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า การสัมผัสกับ PM 2.5 อาจส่งผลเสียต่อสมองทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งคนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่ได้ตระหนักถึงกันมากนักในเรื่องนี้ เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าฝุ่นละอองขนาดเล็กนี้จะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจและมะเร็งเท่านั้น แต่…อย่างที่เรารู้กันว่า "สมอง" มีความสำคัญต่อร่างกายไม่น้อยไปกว่าอวัยวะอื่นใด เช่นนี้แล้วเรามาดูกันว่าฝุ่น PM 2.5 ส่งผลต่อสมองของเราอย่างไรกันบ้าง ความบกพร่องทางสติปัญญา (Cognitive Impairment): มีการศึกษาพบว่า PM 2.5 ทำให้สมรรถนะการทำงานของสมองด้านความรู้ความเข้าใจ (Cognitive Function) ลดลงโดยเฉพาะในผู้สูงอายุและเด็ก ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านความจำ ด้านความสนใจและจดจ่อ รวมถึงมีความสามารถในการแก้ปัญหาที่ลดลง ภาวะการอักเสบในสมอง: ฝุ่นละออง PM 2.5 ทำให้เกิดภาวะการอักเสบในสมองได้ เชื่อกันว่าการอักเสบส่งผลต่อการเกิดความผิดปกติทางระบบประสาทต่างๆ รวมถึงโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน และโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งอีกด้วย ผลกระทบด้านพัฒนาการ: การได้รับ PM 2.5 ในช่วงก่อนคลอดและในช่วงวัยเด็กมีความเกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางด้านระบบประสาทที่บกพร่องในเด็ก ทำให้ความสามารถในการเรียนรู้ลดลง และอาจเกิดโรคสมาธิสั้น (ADHD) และโรคออทิสติกได้ด้วย โรคทางสุขภาพจิต: มีบางการศึกษาเสนอความเชื่อมโยงกันระหว่างการสัมผัส PM 2.5 กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และปัญหาสุขภาพจิตด้านอื่นๆ โรคหลอดเลือดสมอง: การสัมผัสกับ PM 2.5 ในปริมาณสูงมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคหลอดเลือดสมอง เนื่องจากอนุภาคของฝุ่น PM 2.5 อาจทำให้เกิดการอักเสบและทำลายหลอดเลือดในสมองได้นั่นเอง นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ PM 2.5 ส่งผลคุกคามต่อสุขภาพสมองของเราเท่านั้น ยังมีอีกหลายงานวิจัยที่กำลังศึกษาถึงผลกระทบในด้านอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การหันกลับมาดูแลตัวเอง ป้องกันและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับ PM 2.5 คงเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่ควรละเลยอีกต่อไป ดูแลสมองโดยการป้องกัน PM 2.5 ในเมื่อเรายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาสถานการณ์ของ PM 2.5 ที่กำลังเผชิญในขณะนี้ให้หมดไปได้ เราคงทำได้เพียงหลีกเลี่ยงหรือลดการสัมผัสกับ PM 2.5 ให้ได้มากที่สุด เพื่อการดูแลและป้องกันสุขภาพสมองของเราจากภาวะมลพิษทางอากาศ hhc Thailand มีข้อแนะนำดังต่อไปนี้ ตรวจสอบระดับคุณภาพอากาศจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เป็นประจำ เช่น แอป Air4Thai ของกรมควบคุมมลพิษหรือแอปอื่นๆ บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เพื่อวางแผนในการทำกิจกรรมที่ต้องอยู่กลางแจ้งให้เหลือน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาเช้าและเย็นซึ่งมักจะเป็นช่วงเวลาที่มีมลพิษสูงสุดของวัน จำกัดกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังมากๆ กลางแจ้งในวันที่มีมลพิษสูง เช่น การวิ่ง การปั่นจักรยาน เนื่องจากการใช้กำลังมากจะส่งผลให้อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น ทำให้ร่างกายสามารถรับปริมาณ PM 2.5 ได้มากกว่าสภาวะปกติ สวมหน้ากากป้องกัน PM 2.5 หากจำเป็นต้องออกไปข้างนอกในช่วงวันที่มีมลพิษสูง ควรสวมหน้ากากที่กระชับและพอดีกับใบหน้าที่ออกแบบมาเพื่อกรองอนุภาค PM 2.5 ได้ เช่น หน้ากาก N95 หรือ N99 สร้างสภาพแวดล้อมภายในอาคารหรือที่พักอาศัยให้สะอาดและมีการระบายอากาศที่ดี โดยการไม่สูบบุหรี่และจุดธูปเทียนภายในอาคาร การปิดหน้าต่างและประตูในวันที่อากาศมีมลพิษสูงและใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรอง HEPA เพื่อกำจัดอนุภาค PM 2.5 ออกจากอากาศภายในอาคาร ปลูกต้นไม้ช่วยลดมลพิษ การปลูกต้นไม้สามารถช่วยดูดซับมลพิษรวมถึง PM 2.5 และช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศให้ดีขึ้นได้ แต่หากคุณมีพื้นที่ไม่มากพอที่จะปลูกต้นไม้ใหญ่ได้ การเลือกปลูกไม้ประดับที่ช่วยดูดสารพิษในอากาศได้ดีก็เป็นทางเลือกที่ดี เช่น พลูด่าง เศรษฐีเรือนใน วาสนาอธิษฐาน เป็นต้น หากเราทุกคนตระหนักถึงภัยคุกคามจากภาวะมลพิษทางกาอากาศรวมถึง PM 2.5 การป้องกันและหลีกเลี่ยงคงไม่เพียงพอ เราคงต้องช่วยกันลดการปลดปล่อยมลพิษต่างๆ ที่เกิดจากการดำเนินชีวิตประจำวันให้มากที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นโรคทางสมอง ทางเดินหายใจ หรือโรคมะเร็ง ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นที่ต้องการทั้งนั้น เริ่มต้นดูแล ใส่ใจตัวเองและสิ่งแวดล้อมในวันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีกันนะ ขอขอบคุณข้อมูลจาก : hhcthailand

ไข้หวัดใหญ่ อันตรายกว่าที่คิด

ด้วยอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย อาจส่งผลให้มีอาการป่วยเป็นไข้หวัดได้ง่าย และมักเกิดขึ้นบ่อย ๆ โรคไข้หวัดใหญ่ก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่ระบาดในเด็กเป็นจํานวนมากโดยเป็นโรคที่พบได้ตลอดทั้งปี ในวันนี้ โรงพยาบาลเออีซี (aechospital) จะมาแบ่งปันข้อมูลที่ควรรู้ เกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่นี้กัน ไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza Virus) โดยเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล สามารถจําแนก ออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ ชนิด A, B และ C โดยแต่ละชนิดยังแบ่งเป็นพันธุ์ย่อยๆ อีกหลายชนิด โดยสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยที่มีอาการรุนแรง คือ ชนิด A และ B ส่วน สายพันธุ์ชนิด C มักไม่รุนแรง และพบประปราย มาทำความรู้จักโรคไข้หวัดใหญ่กันให้มากขึ้น โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza Virus) ซึ่งเชื้อนี้มีหลายชนิดมากพอที่จะทำให้สามารถแยกไข้หวัดใหญ่ในคนได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1. ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่พบกันมานานแล้ว แต่เชื้อโรคมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมได้ตลอดเวลา ทำให้คนที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ไปแล้วสามารถป่วยได้อีก อาการมักจะไม่รุนแรง เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันอยู่บ้าง 2. ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ชนิด เอช 1 เอ็น 1 (H1N1) ที่กลายพันธุ์จากเชื้อไวรัสตัวเดิมมาก จึงทำให้คนส่วนใหญ่ไม่มีภูมิคุ้มกันและติดเชื้อในวงกว้าง ปัจจุบันได้กลายเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่พบปะปนกับสายพันธุ์ต่าง ๆ ทั่วไป อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดใหญ่จะแสดงอาการ ไข้สูง ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีกล้ามเนื้ออักเสบ และอาการทางระบบหายใจตั้งเเต่ นํ้ามูก ไอมาก หรือ หากรุนเเรง อาจมีอาการหอบเหนื่อย ปอดอักเสบ เสียชีวิต และอาจมีอาการที่ระบบอื่นอย่าง ระบบประสาท เช่น ไข้สูงเเล้วชัก ซึม หรือ ไข้สมองอักเสบได้ โดยทั่วไปหากเด็กปกติที่มีสุขภาพดีติดเชื้อไข้หวัดใหญ่มักจะหายได้เองใน 7 วัน เเต่มีบางรายเกิดการติดเชื้อเเล้ว แสดงอาการรุนเเรงตามที่ กล่าวมา ส่วนเด็กที่มีโรคประจําตัว เช่น โรคหืด โรคหัวใจ เด็กที่ต้องกินยา Aspirin หรือในเด็กเล็กกว่า 2 ปี มีความเสี่ยงใน การเกิดการติดเชื้อที รุนแรง และเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่า ไข้หวัดใหญ่ป้องกันได้อย่างไร 1.หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ ทั้งผู้ที่ป่วยและไม่ป่วย 2.ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น 3.ไม่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด หรือถ้าจำเป็นควรปิดปาก จมูกด้วยหน้ากากอนามัย 4.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นพวกผัก ผลไม้ นม ไข่ กินอาหารปรุงสุกใหม่ ๆ และใช้ช้อนกลาง 5.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 6.ดื่มน้ำสะอาด 7.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 8.หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดและอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น 9.ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เพิ่มเติมจากตารางฉีดวัคซีนตามปกติ แนะนำให้ฉีดกับคนกลุ่มเสี่ยงได้แก่ คนอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป หรือเด็กตั้งแต่อายุ 6 เดือน – 19 ปี คนที่เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด ผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยที่จะต้องไปคลินิกหรือไปโรงพยาบาลบ่อย ๆ ช่วงฤดูไข้หวัด ผู้ที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาล คนที่กินยาที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น แม้ไข้หวัดใหญ่จะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ถ้าเรารู้เท่าทันและป้องกันตัวเอง ไข้หวัดใหญ่ก็ไม่ใช่โรคที่น่ากลัวอีกต่อไป ขอขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลวัฒนแพทย์ อ่าวนาง

ทำไมแรงงานต่างด้าวจึงต้องตรวจสุขภาพ

ในปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่สำหรับบางคนหรือบางกลุ่มเท่านั้น สำหรับเราแล้วเรื่องสุขภาพสำคัญกับทุกคนทุกเชื้อชาติ แน่นอนว่าผู้ที่เป็นแรงงานต่างด้าวเองย่อมต้องการสุขภาพที่ดี ห่างไกลจากโรคร้ายเช่นเดียวกับบุคคลอื่น ๆ การตรวจสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่เราแนะนำ แล้วทำไมแรงงานต่างด้าวจึงต้องควรตรวจสุขภาพล่ะ ? ในวันนี้ โรงพยาบาลเออีซี (aechospital) จะมาแบ่งปันข้อมูลเรื่องนี้กัน สุขภาพเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญแรงงานต่างด้าวเองต้องทำงานอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีสภาวะอากาศไม่ปลอดโปร่งเหมือนแต่ก่อนด้วยฝุ่น PM 2.5 ดังนั้นจึงควรป้องกันด้วยการสวมหน้ากากอนามัย นอกจากนี้เพื่อความมั่นใจในร่างกายของตนเองจึงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อดูความสมบูรณ์ของร่างกายด้วย ไม่เพียงแค่เท่านั้นตลอดเวลาที่ผ่านมายังมีโรคระบาดที่เกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ ในหลาย ๆ ครั้งอาจมียาที่สามารถรักษาได้ แต่ในบางครั้งก็ไม่มียารักษาเช่นกัน ยิ่งเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้เห็นว่าการตรวจสุขภาพสำคัญเพียงใด หากเราละเลยการตรวจสุขภาพจะทำให้เราไม่รู้ถึงรายละเอียดของร่างกายตนเองและภาวะเสี่ยงโรคที่ซ่อนอยู่ เนื่องจากบางโรคต้องตรวจก่อนจึงจะพบและทำการรักษาต่อไปได้ ฟันเฟืองสำคัญของสถานประกอบการ สถานประกอบการน้อยใหญ่หลายแห่งต้องพึ่งแรงงานต่างด้าวในการทำงาน หากขาดพวกเขาจะส่งผลต่อกิจการได้โดยตรงยิ่งในช่วงที่สภาพอากาศที่เต็มไปด้วย PM 2.5 หรือโรคระบาดที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อทุกคนในสถานประกอบการ หากสถานประกอบการละเลยเรื่องสุขภาพของแรงงานต่างด้าวจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง คุณลองคิดภาพคนงาน 1 คนติดเชื้อไวรัสที่สามารถแพร่ระบาดได้ โดยไวรัสดังกล่าวแทบจะไม่แสดงอาการใด ๆ ให้เราสังเกตเห็นได้เลย และในเวลาต่อมาเพียงไม่กี่วันไวรัสดังกล่าวแพร่กระจายไปยังคนงานใกล้เคียงไปหลายคน ก่อนที่หลังจากนั้นคนงานที่ติดเชื้อคนแรกจะแสดงอาการออกมาจนสังเกตเห็นได้ แล้วพนักงานคนอื่น ๆ ล่ะ ? คงจะดีกว่าหากพนักงานทุกคนไม่ว่าจะเป็นต่างด้าวหรือไม่ได้รับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ราคาที่เอื้อมถึงได้ หลาย ๆ คนอาจเห็นว่าโปรแกรมตรวจสุขภาพมีราคาที่แตกต่างกัน และอาจคิดว่าการตรวจสุขภาพสำหรับแรงงานต่างด้าวอาจมีราคาสูง ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจ รวมถึงความปลอดภัยให้กับสถานประกอบการและเพื่อสุขภาพที่ดีของแรงงานต่างด้าว เราได้จัดโปรแกรมตรวจสุขภาพในราคาเพียง 500 บาทเท่านั้น เพื่อให้ทุกคนได้มีสุขภาพที่ดี เพราะเราอยากให้ทุกคนมองว่าสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ ใบรับรองแพทย์สำหรับแรงงานต่างด้าว ในการขอรับใบรับรองแพทย์ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแรงงานต่างด้าว เนื่องจากจำเป็นต้องนำไปยื่นเพื่อดำเนินการขอใบอนุญาตในการทำงานที่กระทรวงแรงงานต่อไป โดยผู้เข้ารับการตรวจสามารถยืนยันตัวตนเพื่อตรวจสุขภาพโดยใช้ Passport เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นหากไม่ทำการตรวจสุขภาพก็เท่ากับว่าจะไม่มีใบรับรองแพทย์เพื่อใช้ยื่นขอใบอนุญาตในการทำงานนั่นเอง ขอขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลเพชรเวช

โรงพยาบาลเออีซี

เลขที่ 5/107 หมู่ 1 ตำบลห้วยกะปิ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ห้วยกะปิ เมือง ชลบุรี 20000

061-350-6197

           

แผนที่และการเดินทาง

โรงพยาบาลเออีซี

เลขที่ 5/107 หมู่ 1 ตำบลห้วยกะปิ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ห้วยกะปิ เมือง ชลบุรี 20000

   061-350-6197

              

ฝากข้อความติดต่อกลับ

กดติดตามรับข่าวสาร

Copyrights © 2025 All Rights Reserved. www.aechospital.com Version 1.0. Designed by WEB-BEE-DEV. +71,822 Times.