หน้าหลัก บทความสุขภาพ
“HPV” รู้จักไวรัสนี้ให้ดีเพื่อป้องกันในอนาคต
“HPV” รู้จักไวรัสนี้ให้ดีเพื่อป้องกันในอนาคต HPV คืออะไร มีกี่ประเภท HPV เป็นเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เชื้อแปปิโลมา หรือเอชพีวี (HPV) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการติดเชื้อเนื้อเยื่อบุผิว ส่งผลให้เกิดโรคบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก พบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่อันตรายต่อร่างกายมากที่สุดคือ สายพันธุ์ 16 และ 18 . ติดง่ายแค่ไหน การแพร่กระจายเชื้อเป็นอย่างไร การติดเชื้อ HPV มักติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก ปาก โดยแพร่เชื้อผ่านรอยแผล หรือรอยขีดข่วนตามผิวหนัง หรือสัมผัสผิวหนัง อีกทั้งสิ่งของปนเปื้อนเชื้อจากผู้ป่วย ที่น่าเป็นห่วงคือ หญิงตั้งครรภ์ที่มีเชื้อ HPV อาจแพร่เชื้อสู่ลูกระหว่างการคลอดได้ ด้วยการสัมผัสเชื้อโดยตรงหรือการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งผู้ที่มีเชื้อ HPV อยู่ในร่างกายมักไม่มีอาการแสดงใด ๆ จึงอาจแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว . อาการเมื่อติดเชื้อ HPV เป็นอย่างไร ผู้ที่ติดเชื้อ HPV ส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการ เพราะระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะกำจัดเชื้อไวรัสได้ก่อนเป็นหูด ซึ่งลักษณะของหูดจะแตกต่างตามสายพันธุ์ไวรัส ได้แก่ - หูดทั่วไป จะเป็นตุ่มเล็ก ๆ ที่อาจขึ้นตามมือ นิ้ว ข้อศอก มีสีเนื้อ สีขาว สีชมพู สีน้ำตาลอ่อน บริเวณที่พบคือ มือ นิ้วมือ ข้อศอก แม้ไม่อันตราย แต่อาจทำให้เจ็บปวด โดยผิวหนังที่เกิดหูดอาจมีเลือดออกได้ง่าย - หูดแบนราบ จะมีสีเข้มกว่าปกติและนูนขึ้นมาเล็กน้อย มีขนาดเล็ก พื้นเรียบ เกิดขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกาย โดยผู้หญิงมักพบที่ขา ผู้ชายมักพบที่เครา เด็กมักพบที่ใบหน้า - หูดบริเวณอวัยวะเพศ หรือหูดหงอนไก่ เป็นติ่งเนื้อคล้ายดอกกะหล่ำที่เกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศหญิง อวัยวะเพศชาย และทวารหนัก มักรู้สึกคัน แต่ไม่เจ็บปวด - หูดบริเวณฝ่าเท้า มักขึ้นตรงส้นเท้าหรือเนินปลายเท้า มีลักษณะเป็นตุ่มแข็ง ไม่ว่ายืนหรือเดินจะรู้สึกเจ็บ . กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อ HPV คือใคร - หญิงชายที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย -เด็กและวัยรุ่น โดยเฉพาะเด็กวัยเจริญพันธุ์ - ผู้ที่มีแผลหรือรอยขีดข่วนตามผิวหนัง - ผู้ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ ฯลฯ - ผู้ที่สัมผัสหูดหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงมือเพื่อป้องกัน - ผู้ที่ใช้สถานที่ที่มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เช่น ห้องอาบน้ำสาธารณะ สระว่ายน้ำ ฯลฯ . วิธีป้องกันการติดเชื้อ HPV ทำอย่างไร - ผู้ที่มีอายุ 9 – 26 ปี แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ - - HPV สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก 4 ชนิด - ผู้หญิงที่มีอายุ 21 – 65 ปี ควรตรวจคัดกรองมะเร็ง- - ปากมดลูกเป็นประจำทุกปี - สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ - ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย - ไม่ควรแกะหรือเกาหูดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น - สวมรองเท้าเมื่ออยู่ในสถานที่ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น สระว่ายน้ำสาธารณะ ห้องอาบน้ำรวม ฯลฯ
8 โรคยอดฮิต ที่มาช่วงปลายฝนต้นหนาว ได้แก่อะไรบ้างนะ ปลายฝนต้นหนาว เสี่ยง 8 โรคยอดฮิตนี้
ปลายฝนต้นหนาว คือช่วงรอยต่อระหว่างฤดูฝนกับฤดูหนาว และแน่นอนว่าอากาศในช่วงนี้ จะลดต่ำลงเกือบทุกภูมิภาคของประเทศไทย แถมยังมีมรสุมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สภาพอากาศแปรปรวนบ่อย เป็นสาเหตุทำให้เจ็บป่วยได้หลายโรค . เราได้รวบรวม 8 โรคยอดฮิต ที่มาช่วงปลายฝนต้นหนาว ได้แก่อะไรบ้างนะ ปลายฝนต้นหนาว เสี่ยง 8 โรคยอดฮิตนี้ . 1. โรคไข้หวัดใหญ่ (Flu) 2. โรคปอดบวม (Pneumonia) 3. โรคไข้หวัด (Common cold) 4. โรคหอบหืด (asthma) 5. โรคไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) 6. โรคอุจจาระร่วง (diarrhea) 7. โรคมือ เท้า ปาก (Hand Foot Mouth Disease) 8. โรคหัด (Measles / Rubella) . วิธีดูแลตนเองในช่วง ปลายฝนต้นหนาว 1. หลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือคลุกคลีกับผู้ป่วย รวมทั้งไม่ใช้สิ่งของรวมกับผู้ป่วย เช่น จาน ช้อนส้อม แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ ถ้ามีผู้ป่วยในบ้าน ควรให้ปิดปากด้วยหน้ากากอนามัย เวลาไอ หรือจาม 2. ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่อย่างถูกวิธี หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ 3. ช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ไข้หวัดใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีคนแออัดอากาศถ่ายเทไม่สะดวก 4. กินอาหารที่มีประโยชน์ งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะทำให้ระบบภูมิต้านทานโรคในร่างกายต่ำลง และติดเชื้อได้ง่าย 5. ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ รักษาร่างกายให้อบอุ่น และไม่ใส่เสื้อผ้าที่เปียกชื้น 5. เมื่อเริ่มมีอาการไข้หวัด ควรนอนพักมาก ๆ และดื่มน้ำบ่อย ๆ ถ้าตัวร้อนมาก กินยาลดไข้ และใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัว หรือถ้าอาการไม่ดีขึ้น เช่น มีอาการไอมากขึ้น แน่นหน้าอก มีไข้นานเกิน ๒ วัน ควรไปพบแพทย์ทันที 6. หากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ และมีประวัติใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นไข้หวัดใหญ่ ควรไปพบแพทย์ทันที . พร้อมเปิดให้บริการแบบเต็มรูปแบบเร็ว ๆ นี้ โรงพยาบาลเออีซี AEC Hospital
ทำไมสาว ๆ ถึงควรตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม
ทำไมสาว ๆ ถึงควรตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม . ทำไมถึงควรตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ในปัจจุบัน มะเร็งเต้านม ถือเป็น ‘มะเร็งที่พบบ่อยที่สุดของผู้หญิงไทย’ และยังเป็นสาเหตุอันดับ 1 ของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งของผู้หญิงไทยด้วย แต่เราสามารถลดสถิตินี้ลงได้ ด้วยการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมที่เรียกว่า ดิจิตอลแมมโมแกรม ซึ่งสามารถตรวจพบความผิดปกติต่างๆ ของเต้านม รวมถึงค้นหามะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรกได้ดี นำไปสู่การรักษาที่รวดเร็ว และเพิ่มโอกาสหายขาดได้มากกว่าการตรวจพบภายหลังเมื่ออยู่ในระยะลุกลามแล้ว . ใครบ้างที่เสี่ยงเป็น “มะเร็งเต้านม” *ผู้หญิงทุกคนล้วนมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม แต่จะมีความเสี่ยงมากน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมหลายอย่าง เช่น *ผู้หญิงที่มีประวัติสมาชิกในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งมาก่อน ย่อมมีความเสี่ยงสูง *ผู้หญิงที่มีพันธุกรรมผิดปกติที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม *ผู้หญิงที่ไม่มีลูก หรือมีลูกคนแรกหลังอายุ 30 ปี *ผู้หญิงที่ได้รับฮอร์โมนเพศหญิงจากภายนอกเป็นเวลานาน เช่น การใช้ยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศหญิง *ผู้หญิงที่มีภาวะอ้วน และดื่มแอลกอฮอล์มากๆ เป็นประจำ . อาการแบบไหน? อาจใช่ “มะเร็งเต้านม” ที่ต้องรีบไปตรวจ *คลำพบก้อนเนื้อบริเวณเต้านม หรือใต้รักแร้ รู้สึกเจ็บบริเวณเต้านม *ผิวหนังของเต้านมผิดปกติไปจากเดิม เช่น มีรอยบุ๋มคล้ายลักยิ้ม บวมหนาคล้ายเปลือกส้ม หรือมีรอยบวมแดง *มีของเหลวไหลออกมาจากหัวนม มีแผลบริเวณเต้านมหรือหัวนม โดยเฉพาะแผลที่รักษาแล้วไม่หาย *หากมีอาการเหล่านี้ แพทย์มักตรวจพบว่ามีความสัมพันธ์กับมะเร็งเต้านม ดังนั้นแม้มีอาการเหล่านี้เพียงเล็กน้อย ก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดจะดีกว่า จะได้เริ่มทำการรักษาอย่างตรงจุดให้เร็วที่สุด ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายจากโรคได้ . อันตรายของ “มะเร็งเต้านม” หากพบว่าตนเองมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม แต่ไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยแต่เนิ่นๆ อาจส่งผลให้ก้อนมะเร็งที่เกิดขึ้นบริเวณเต้านมขยายใหญ่และลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ ของร่างกายได้ เช่น ตับ ปอด สมอง และกระดูก ซึ่งการแพร่กระจายของมะเร็งอาจเป็นระยะสุดท้ายของมะเร็งแล้ว ทำให้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และมีอัตราของการรอดชีวิตที่น้อยลง ดังนั้น การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมอย่างสม่ำเสมอแม้ไม่มีอาการสงสัย จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้ โดยปัจจุบันการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการตรวจที่เรียกว่า “ดิจิตอลแมมโมแกรม” นั่นเอง
ร่างกายสูงวัยตรวจสุขภาพอย่างไรดี?
ร่างกายสูงวัยตรวจสุขภาพอย่างไรดี . ผู้สูงวัยคือใคร จริงๆ แล้วมีหลายเกณฑ์หลายมาตรฐานที่กำหนดอายุของ “ผู้สูงวัย” ซึ่งก็แตกต่างกันออกไป แต่สำหรับคนรักสุขภาพ ถ้ามองในมุมของการตรวจสุขภาพประจำปี เมื่อใครก็ตามที่กำลังก้าวเข้าสู่วัย “50 ปีขึ้นไป” ก็ควรได้รับการตรวจสุขภาพรอบด้านแบบที่ “ผู้สูงวัย” ควรได้รับ ซึ่งจะเป็นการตรวจสุขภาพที่ครอบคลุมมากขึ้นตามความเสี่ยงของอายุ และความเสื่อมของร่างกายที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง . ผู้สูงวัยควรตรวจอะไรบ้าง เริ่มจาก... แพทย์จะทำการซักปะวัติ และประเมินจากการตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ส่วนสูง น้ำหนัก ดัชนีมวลกาย ความดันโลหิต การเต้นของหัวใจ ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด รวมถึงตรวจการได้ยิน การมองเห็น แล้วประเมินเรื่องความจำ และภาวะทางอารมณ์ เพราะผู้สูงวัยส่วนใหญ่มักเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า . นอกจากนี้ยังจะมีการตรวจภาวะกระดูกว่ายังแข็งแรงหรืออ่อนบางลงมากน้อยเพียงใด มีความพรุนหรือไม่ ดูการเดิน การทรงตัวว่ามีแนวโน้มการเป็นโรคข้อเสื่อมหรือไม่ หรือเสี่ยงต่อการหกล้มง่ายหรือไม่ เพราะในทางการแพทย์พบว่าราว 50% ของผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปี จะมีภาวะกระดูกเสื่อม ผุ กร่อน บางลง ทำให้กระดูกหักง่ายและต่อติดได้ยาก . ยิ่งกว่านั้น ยังควรได้รับการตรวจสมรรถภาพในการทำงานของอวัยวะต่างๆ อย่างละเอียด โดยมุ่งไปที่การประเมินความเสี่ยงโรคที่เกิดจากความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ ปอด ตับ (มะเร็งตับ) ไต (ไตวาย) สมอง (สมองเสื่อม) ช่องท้อง สำไส้ (มะเร็ง) โดยการตรวจอุจจาระเพื่อดูว่ามีเลือดปนออกมาหรือไม่ และตรวจทางทวารหนักด้วย . หากมีแนวโน้มหรือพบข้อสงสัย แพทย์ก็จะแนะนำให้ตรวจส่องกล้องทางทวารหนัก โดยจะใช้กล้องที่มีลักษณะเป็นท่อขนาดเล็กโค้งงอได้ สอดเข้าไปทางทวารหนักเพื่อตรวจดูลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ส่วนกลาง และส่วนต้น รวมถึงลำไส้เล็กส่วนปลาย เพื่อตรวจดูว่ามีติ่งเนื้อในลำไส้ แผล หรือสิ่งที่น่าจะก่อให้เกิดมะเร็งสำไส้ในอนาคตหรือไม่ . สำหรับในผู้ชายสิ่งที่ควรตรวจเพิ่มเติมคือ ความเสี่ยงโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วนในผู้หญิงคือการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ( Mammogram) ตรวจภายในนรีเวชและมะเร็งปากมดลูกอย่างน้อยปีละครั้ง . โรคหลอดเลือดตีบ ตัน โรคสำคัญที่พบบ่อยในผู้สูงวัย โรคหลอดเลือดตีบ ตัน ในผู้สูงอายุ หรือแม่แต่คนอายุน้อยๆ ส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการจนกว่าจะเข้าขั้นวิกฤติ ดังนั้นถ้าจะรอให้โรคแสดงอาการก็หมายความว่าเส้นเลือดต่างๆ เริ่มตีบมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งก็สร้างความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เส้นเลือดในสมองตีบก็สร้างความเสี่ยงโรคเส้นเลือดในสมองตีบตันหรือแตก ซึ่งนำไปสู่ภาวะการเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้ ผู้สูงอายุจึงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความเสี่ยง หากพบว่าเริ่มมีไขมันในหลอดเลือดสูง มีน้ำตาลในเลือดสูง มีภาวะโรคอื่นๆ เช่น โรคเบาหวานร่วมด้วย อาจจำเป็นต้องได้รับยาในเบื้องต้น ร่วมกับการปรับพฤติกรรม เพื่อป้องกันไม่ให้โรคดำเนินไปอย่างรวดเร็ว หากดูแลและปรับพฤติกรรมได้ดี ระดับไขมันและน้ำตาลในเลือดก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ . วิเคราะห์ไลฟ์สไตล์... เพื่อปรับเปลี่ยนสู่สุขภาพที่ดีกว่า นอกจากการตรวจเลือด การเอกซเรย์ หรือการประเมินด้วยเครื่องมือแพทย์ต่างๆ แล้ว การวิเคราะห์ไลฟ์สไตล์หรือการใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงวัยก็มีความจำเป็น เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารหวาน มัน เค็ม อาหารแปรรูป รสจัด การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อน ความเครียด การขับขี่ยานพาหนะ หรือแม้แต่การกินยารักษาโรคประจำตัว การใช้ฮอร์โมน รวมไปถึงความเสี่ยงของโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคสมองเสื่อม โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคหัวใจขาดเลือด โรคเก๊าต์ โรคไทรอยด์ และโรคมะเร็งบางชนิด การประเมินสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การดูแลสุขภาพโดยรวมกลับมาดีขึ้นได้ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม . การตรวจสุขภาพประจำปีของผู้สูงวัย ไม่ได้เหมาะกับแค่คนรักสุขภาพเท่านั้น แต่ถือว่ามีความจำเป็นและควรใส่ใจ เพราะการได้รู้ว่าอวัยวะภายในของเราเสื่อมไปแค่ไหน ยังทำงานได้ 100% อยู่หรือไม่ มีส่วนใดควรระวัง ควรได้รับการรักษาหรือดูแลเป็นพิเศษ ก็จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น ความเสี่ยงเป็นโรคร้ายก็ลดน้อยลง หรือแม้หากพบโรคที่รักษายาก การพบเร็วก็มีโอกาสในการรักษาหายที่มากกว่า เจ็บตัวน้อยกว่า และประหยัดค่าใช้จ่ายได้ดีกว่าการรักษาเมื่อโรคลุกลามไปมากแล้ว เราทุกคนจึงควรใส่ใจ โดยกำหนดช่วงเวลาในการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกๆ ปี
5 สัญญาณ เตือนภาวะเสี่ยงโรคหัวใจและะหลอดเลือดสมอง
5 สัญญาณ เตือนภาวะเสี่ยงโรคหัวใจและะหลอดเลือดสมอง . หัวใจ เป็นอวัยวะสำคัญที่เป็นเหมือนศูนย์กลางควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายให้ทำงานต่อไปได้ หากเกิดความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งกับหัวใจ ร่างกายมักจะส่งสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติบางอย่างโดยเฉพาะโรคที่อันตรายถึงชีวิต อย่างโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งประเทศไทยพบว่า 45% ของการเสียชีวิตเฉียบพลันเกิดจากโรคหัวใจขาดเลือด ดังนั้นเราควรต้องหมั่นสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เพราะการทราบถึงสัญญาณเตือนดังกล่าว จะช่วยให้รักษาชีวิตอย่างทันท่วงที . โรคหัวใจขาดเลือด เกิดขึ้นได้ทั้งขณะทำงาน เล่นกีฬา หรือขณะพักผ่อน เนื่องจากมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและมีรอยปริของผนังหลอดเลือด ทำให้มีลิ่มเลือดและไขมันมาเกาะที่ผนังและก่อตัวเป็นตะกรัน เกิดการอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตเฉียบพลันได้ . สาเหตุโรคหัวใจขาดเลือดในปัจจุบันพบว่า มักเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่จัด ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป พฤติกรรมการรับประทานอาหารจนทำให้มีไขมันในเส้นเลือดมากผิดปกติ ความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน เป็นต้น มักพบในเพศชายที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป และในเพศหญิงที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะในครอบครัวที่เคยมีประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ รวมไปถึงสาเหตุโรคกล้ามเนื้อหัวใจอย่างโรคทางพันธุกรรมต่างๆ ที่ปัจจุบันทำให้ผู้ป่วยมีอายุน้อยลง . 5 อาการและสัญญาณเตือนของโรคหัวใจขาดเลือด 1. อาการเจ็บแน่นหน้าอกเหมือนถูกบีบรัด หรือกดทับ 2. อาการเจ็บหน้าอกปวดร้าวไปกราม สะบักหลัง แขนซ้าย หัวไหล่ 3. เหงื่อออก จะเป็นลม หน้าซีด 4. อาการใจสั่น หอบเหนื่อย คลื่นไส้ 5. จุกบริเวณคอหอย ซึ่งบางรายอาจมีอาการจุกบริเวณใต้ลิ้นปี่ โดยในหลายๆ ครั้ง อาการเหล่านี้ แทบจะแยกจากโรคอื่นๆ ซึ่งอาจมีอาการคล้ายกันได้ลำบาก เช่น อาจทำให้สับสนกับโรคกรดไหลย้อน หรือกระดูกอ่อนซี่โครงอักเสบได้ ดังนั้น จึงไม่ควรละเลยหรือนิ่งนอนใจหากมีอาการดังกล่าว . ผู้สูงอายุหรือผู้มีปัจจัยเสี่ยงถือเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังและคอยสังเกตอาการของตัวเองเป็นพิเศษ เมื่อเกิดภาวะเหล่านี้ผู้ป่วยต้องรีบเดินทางมาโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยหาแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง ซึ่งจากข้อมูลของไทยพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มาเข้ารับการรักษาล่าช้าทำให้เสียชีวิตหรือมีภาวะหัวใจวายตามมา
โรคหัวใจมีที่ชนิด ? รู้จักไว้ป้องกันไว้ดีกว่าเสี่ยง โรคหัวใจมีหลายชนิดสามารถแบ่งเป็นชนิดใหญ่ๆได้ดังนี้
โรคหัวใจมีกี่ประเภท? ดีกว่าที่จะรู้ว่ามันจะดีกว่าที่จะปลอดภัยกว่าเสียใจ โรคหัวใจมีหลายประเภทและสามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทหลักๆ ดังนี้ - - โรคหลอดเลือดหัวใจ - การเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ - โรคกล้ามเนื้อหัวใจ - โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด - โรคลิ้นหัวใจ -การติดเชื้อบริเวณหัวใจ - โรคหัวใจมีอาการที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเภท - * โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก กราม แขน รอยแตกที่คอ; ความเหนื่อยล้า ความอ่อนแอหรือหมดสติ - * การเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ อัตราการเต้นของหัวใจของคุณไม่สม่ำเสมอหรือช้า ใจสั่น ความเหนื่อยล้า แน่นหน้าอก คุณอาจรู้สึกเวียนหัวหรือเป็นลม - * โรคกล้ามเนื้อหัวใจ เหนื่อยล้าได้ง่าย หายใจถี่ ความพยายามอย่างเข้มข้น อาการบวมที่แขนขา; นอนไม่หลับ อาการต่างๆ เช่น การไอตอนกลางคืน มักจะแย่ลง - * โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เป็นโรคที่เด็กมีอาการเหนื่อยและหยุดการเจริญเติบโตขณะให้นมลูกในครรภ์มารดา - * โรคลิ้นหัวใจ หากมีความผิดปกติของลิ้นหัวใจมาก ฉันจะเหนื่อยง่าย อาจทำให้หัวใจวายหรือปอดบวมได้ - * การติดเชื้อบริเวณหัวใจ ไข้เรื้อรัง ความเหนื่อยล้า การเต้นของหัวใจผิดปกติ หายใจถี่ อาการไอแห้งเรื้อรัง อาการบวมที่ขาหรือหน้าท้อง รวมถึงตุ่มหรือจุดบนผิวหนัง
โรคฝีดาษลิง หรือ MONKEYPOXโรคระบาดใหม่ที่ไม่ควรมองข้าม ทำความรู้จัก ฝีดาษวานรหรือฝีดาษลิง ว่าอาการเป็นอย่างไรและะป้องกันได้อย่างไร
โรคฝีดาษลิง หรือ MONKEYPOXโรคระบาดใหม่ที่ไม่ควรมองข้าม ทำความรู้จัก ฝีดาษวานรหรือฝีดาษลิง ว่าอาการเป็นอย่างไรและะป้องกันได้อย่างไร . โรคฝีดาษลิง ฝีดาษวานร หรือ Monkeypox เกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในสัตว์ฟันแทะบนทวีปแอฟริกา โดยเชื้อไวรัสนี้แพร่เชื้อไปยังสัตว์อื่น และสามารถแพร่จากสัตว์ไปสู่คนได้ ซึ่งการรายงานที่พบโรคนี้ครั้งแรกเกิดจากลิงในห้องทดลอง จึงเรียกว่าฝีดาษลิง หรือฝีดาษวานรนั่นเอง ซึ่งหมายความว่าลิงไม่ใช่แหล่งกำเนิดของโรคนี้อย่างที่เข้าใจกัน การระบาดที่พบในตอนนี้ เกิดในประเทศบนทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรปเป็นส่วนใหญ่ . อาการที่ควรเฝ้าระวังของโรคฝีดาษลิง 1.อาการของโรคจะแสดงอาการหลังจากได้รับเชื้อแล้วประมาณ 7-14 วัน 2.มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดหัว ปวดเมื่อยตามร่างกาย 3.ต่อมน้ำเหลืองโต 4.หลังจากมีไข้ประมาณ 1-3 วัน จะมีตุ่มเล็ก ๆ คล้ายผื่นขึ้นตามตัว ซึ่งตุ่มเหล่านี้จะอักเสบและแห้งไปเองใน 2 – 4 สัปดาห์ โดยมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ ดังนี้ 4.1 มีตุ่มนูนแดงคล้ายผื่น 4.2 ภายในตุ่มมีน้ำใสอยู่ภายใน รู้สึกคัน แสบร้อน 4.3 ตุ่มใสกลายเป็นหนอง เมื่ออาการรุนแรงขึ้น ตุ่มหนองเหล่านั้นจะแตกออกและแห้งไปเอง 5.อาจมีอาการท้องเสีย อาเจียน เจ็บคอ ไอ หอบเหนื่อยร่วมด้วย 6.บางรายที่ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีโรคประจำตัวอาจมีภาวะแทรกซ้อนทำให้อาการรุนแรงอันตรายถึงชีวิตได้ . โรคฝีดาษลิง สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้จากการสัมผัสทางผิวหนัง สารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ หรือวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส แต่โรคนี้เราสามารถเฝ้าระวังได้ง่าย เพราะผู้ป่วยติดเชื้อจะมีตุ่มขึ้นตามร่างกายเป็นรอยโรคที่สังเกตได้ชัดเจน . การป้องกัน 1.หมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์หลังจากสัมผัสสัตว์เลี้ยงหรือสิ่งต่าง ๆ 2.สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง เมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยงการแพร่ระบาด 3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยหรือสัตว์ที่อาจเป็นพาหะของโรค 4.การฉีดวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะสถานศึกษาคัดกรองและสังเกตอาการเด็กเล็กก่อนเข้าเรียนอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันโรคมือ เท้า ปาก เน้นย้ำสถานศึกษาหากพบเด
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะสถานศึกษาคัดกรองและสังเกตอาการเด็กเล็กก่อนเข้าเรียนอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันโรคมือ เท้า ปาก เน้นย้ำสถานศึกษาหากพบเด็กป่วยให้รีบแยกออกจากเด็กปกติ และแจ้งให้ผู้ปกครองรับกลับบ้าน เพื่อพาไปพบแพทย์ . นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ซึ่งเอื้อต่อการระบาดของเชื้อโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมือ เท้า ปาก ประกอบกับสถานศึกษาเปิดเรียนเป็นปกติ เด็กอาจมีการทำกิจกรรมรวมกลุ่ม ทำให้เสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อ ซึ่งโรคดังกล่าวมีแนวโน้มพบอัตราป่วยมากที่สุดในกลุ่มเด็กเล็กและเด็กวัยเรียน โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเชื้อสามารถแพร่กระจายได้ง่ายจากการสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย น้ำในตุ่มพอง ตุ่มแผล หรือจากการสัมผัสของเล่น อุปกรณ์เครื่องใช้ หรือภาชนะที่ใช้ร่วมกัน ดังนั้น สถานศึกษาจึงควรมีมาตรการคัดกรองและสังเกตอาการของเด็กก่อนเข้าเรียนทุกเช้า เพื่อเฝ้าระวังการป่วยด้วยโรคมือ เท้า ปาก หากพบเด็กมีอาการเสี่ยงจะได้ป้องกันการแพร่ระบาดไปสู่เด็กคนอื่น . สำหรับอาการของโรคมือ เท้า ปาก ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อาจไม่แสดงอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น มีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เจ็บคอ เจ็บปาก ในเด็กเล็กสังเกตได้จากการไม่ยอมรับประทานอาหารหรือมีน้ำลายไหล ร่วมกับมีผื่นหรือตุ่มน้ำใสพองเล็กๆ ขึ้นบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ลำตัว ก้น มีตุ่มแผลบริเวณในช่องปาก เพดานอ่อน กระพุ้งแก้ม ลิ้น ซึ่งภายหลังตุ่มแผลจะแตกออกเป็นแผลหลุมตื้นๆ ส่วนใหญ่อาการจะทุเลาและหายเองได้ภายใน 7-10 วัน หากอาการไม่ดีขึ้น เช่น มีไข้สูง รับประทานอาหารและน้ำได้น้อยมาก ซึมลง ชักเกร็ง หายใจหอบเหนื่อย อาเจียนมาก ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพราะอาจติดเชื้อโรคมือ เท้า ปากชนิดรุนแรง และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนถึงขั้นเสียชีวิตได้ . นายแพทย์อภิชาต วชิรพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวย้ำให้ผู้ปกครองและสถานศึกษาสังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ และสถานศึกษาหรือสถานรับเลี้ยงเด็กควรปฏิบัติตามคำแนะนำป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ดังนี้ 1.คัดกรองเด็กก่อนเข้าเรียนทุกเช้าอย่างเคร่งครัด 2.ให้เด็กล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ (แอลกอฮอล์เจลไม่สามารถฆ่าเชื้อนี้ได้) ทั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และหลังเล่นของเล่น 3.หมั่นทำความสะอาดของใช้ ของเล่น และพื้นที่ที่เด็กใช้ร่วมกันเป็นประจำ 4.หากสถานศึกษาพบเด็กป่วยให้แยกออกจากเด็กปกติและแจ้งให้ผู้ปกครองรับกลับบ้านเพื่อพาไปพบแพทย์ พร้อมทั้งให้เด็กหยุดเรียนจนกว่าจะหาย แยกของใช้ส่วนตัวของเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ ทำความสะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาดหรือน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไป และนำไปตากแดดให้แห้ง หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับเด็กคนอื่น งดไปในที่ชุมชนหรือสถานที่แออัด และหากพบการระบาดของโรคมือ เท้า ปาก เป็นกลุ่มก้อน ควรแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่เพื่อดำเนินการสอบสวนและควบคุมโรคต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ทำไมต้องฉีดทุกปี?
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ทำไมต้องฉีดทุกปี . ไข้หวัดใหญ่ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) มีการระบาดเป็นช่วง ๆ ในฤดูฝนและฤดูหนาว คนทั่วไปจะมีอาการไม่มาก เช่น มีไข้สูง มีน้ำมูก ไอ เจ็บคอ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว เยื่อบุโพรงจมูกอักเสบ ส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่สำหรับคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง อาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและอาจเสียชีวิตได้ เช่น ปอดอักเสบ หรือปอดบวม สมองอักเสบ ดังนั้นการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นในคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงนี้ . ทำไม ต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ทุกปี เพราะ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ เปลี่ยนสายพันธุ์ทุกปี ลดโอกาสป่วย ด้วยการฉีดก่อนฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่โรคระบาดหนัก ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ช่วยให้มีภูมิคุ้มกัน ครอบคลุมกับเชื่อไวรัสในแต่ละปี หลังฉีดวัคซีน 2 สัปดาห์ จะเกิดภูมิคุ้มกันได้นานถึง 1 ปีเพื่อป้องกันร่างกายจากไข้หวัดใหญ่ เราจึงควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี . ด้วยความห่วงใยจาก รพ.เออีซี
ระวัง! ไวรัส RSV ในเด็กเล็ก คล้ายไข้หวัด..แต่อันตราย ถึงชีวิต!!!!
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาว ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และหนึ่งโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัส RSV มักจะระบาดสูงในช่วงฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ซึ่งเหมือนจะเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา แต่ก็ไม่ควรประมาท เพราะโรค RSV อันตรายถึงแก่ชีวิต!!! เชื่อว่าใครที่เป็นคุณพ่อ คุณแม่ คงจะรู้จักกับโรค RSV กันไม่น้อย แต่ก็คงคาดไม่ถึงว่าโรคนี้จะมีความรุนแรงได้ถึงในระดับไหน เพราะถ้ามองเผินๆก็เหมือนแค่ไข้หวัดปกตินี่นา แต่เชื่อหรือไม่? ว่า..โรคนี้ก็สามารถพรากชีวิตมาหลายชีวิตแล้ว ไวรัส RSV หรือ ที่มีชื่อเรียกเต็มๆก็คือ (Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสชนิดที่มีลักษณะเปลือกหุ้ม ที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อทางเดินหายใจ สามารถเกิดการติดเชื้อได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่ส่วนมากแล้วมักเกิดในเด็กเล็ก ๆ ที่อายุต่ำกว่า 3 ปี มักจะมีการแพร่ระบาดค่อนข้างรวดเร็ว และพบการระบาดได้บ่อยในช่วงฤดูฝนหรือช่วงปลายฝนต้นหนาว การติดต่อของเชื้อ RSV สามารถติดต่อผ่านสารคัดหลั่งต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น น้ำมูก น้ำลาย ละอองจากการไอ จาม โดยเฉพาะการติดต่อจากการสัมผัส ซึ่งหากเด็กได้รับเชื้อ ระยะฟักตัวจะอยู่ที่ประมาณ 5 วัน โดยในช่วง 2 – 4 วันแรกมักมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น ไข้ ไอ , จาม , น้ำมูกไหล จนผู้ปกครองมองข้าม แต่ถ้าเมื่อทางเดินหายใจส่วนล่างมีการอักเสบตามมา ก็จะทำให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ และโรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ ในบางรายเกิดอาการขั้นรุนแรง เช่น ไข้สูง ไอแรง หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงครืดคราด มีเสมหะในลำคอมาก ๆ อาการที่ต้องเฝ้าระวัง หากมีไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส ไอจนอาเจียน หายใจเร็วหอบจนชายโครงหรืออกบุ๋ม หายใจออกลำบากหรือหายใจมีเสียงวี้ด (Wheezing) รับประทานอาหารหรือนมได้น้อย ซึมลง ปากซีดเขียว อาการเหล่านี้จะมีโอกาสเสียชีวิตเนื่องจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลวได้สูง ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคติดเชื้อไวรัส RSV โดยตรง แต่ใช้วิธีการรักษาตามอาการเหมือนโรคโควิด เช่น การให้ยาลดไข้ แก้ไอละลายเสมหะ ในเด็กบางรายที่มีเสมหะเหนียวมาก ต้องทำการพ่นยาขยายหลอดลมผ่านทางออกซิเจนละอองฝอย เคาะปอด และดูดเสมหะออก จะช่วยลดความรุนแรงของอาการไอและอาการหายใจหอบเหนื่อยได้ โรค RSV ใช้เวลาในการฟื้นไข้ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ ไวรัสชนิดนี้ทำให้เกิดอาการได้ตั้งแต่ไข้หวัดธรรมดา รวมถึงอาการรุนแรงเป็นปอดบวมซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตลูกน้อย และเชื้อไวรัสนี้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหากร่างกายอ่อนแอ วิธีการป้องกันการติดเชื้อ RSV ทำได้โดยการรักษาความสะอาด ผู้ปกครองควรดูแลความสะอาดให้ดี หมั่นล้างมือตัวเองและลูกน้อยบ่อย ๆ เพราะการล้างมือสามารถลดเชื้อที่ติดมากับมือทุกชนิดได้ถึงร้อยละ 70 ควรรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะครบ 5 หมู่ และให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อมีการมื่อไอ-จาม ควรปิดปากจมูก และหลีกเลี่ยงในการสัมผัส . ทำความสะอาดของเล่นและสิ่งของที่ใช้ร่วมกันให้สะอาดอยู่เสมอ . อยู่สถานที่ในอากาศที่ถ่ายเท ไม่ควรอยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา . ปกติแล้วในผู้ใหญ่มักไม่ติดเชื้อโรคนี้ เพราะมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงพอ แต่ผู้ใหญ่มีโอกาสสัมผัสเชื้อนี้ได้ และหากไม่ล้างมือให้สะอาดก็อาจทำให้เด็กเล็กติดเชื้อจากผู้ใหญ่ได้อีกทีนึง . สามารถติดตามความรู้เกี่ยวกับสุขภาพหรือข่าวสารต่างๆของโรงพยาบาลเออีซีได้ที่ เพจ Facebook โรงพยาบาลเออีซี พร้อมเปิดให้บริการแบบเต็มรูปแบบเร็ว ๆ นี้ โรงพยาบาลเออีซี AEC Hospital / aechospital.com “การรักษาพยาบาล ที่ไร้พรมแดน” …………………………………………………………………… #โรงพยาบาลเออีซีAECHospital #การรักษาพยาบาลที่ไร้พรมแดน #เปิดให้บริการเร็วๆนี้ #เปิดให้การทั้งชาวไทยเเละชาวต่างชาติ #ตรวจสุขภาพ #เจ็บป่วยอุ่นใจสบายกระเป๋า #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #ตรวจสุขภาพworkpermit #ประกันสังคม #ประกันสุขภาพ #ฉุกเฉิน24ชั่วโมง
ไข้เลือดออก…ภัยร้ายคร่าชีวิต
ไข้เลือดออก…ภัยร้ายคร่าชีวิต . โรคไข้เลือดออกนั้นเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งพบได้ในทุกกลุ่มอายุ อาการของโรคไข้เลือดออกแม้จะไม่รุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจนทำให้เสียชีวิตได้ . หากพบว่ามีอาการดังกล่าว ควรพบแพทย์ทันที และห้ามซื้อยารับประทานเองเด็ดขาด เราสามารถป้องกันโรคไข้เลือดออกได้โดย ระวังอย่าให้ยุงกัด ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง โดยเฉพาะภาชนะที่มีน้ำขัง . สังเกตอาการของโรคไข้เลือดออกได้ ดังนี้ . มีไข้สูง 39 – 40 องศา เกิน 2 วัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย ซึมลง ปัสสาวะสีเข้ม เบื่ออาหาร อาเจียน อาจพบจ้ำเลือดหรือจุดเลือดตามผิวหนัง อุจจาระมีสีดำ . โรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อที่ระบาดหนักมากในช่วงฤดูฝน โดยมีจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโรคนี้เพิ่มขึ้นทุกปี นอกจากการดูแลตนเอง และทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายซึ่งเป็นพาหะนำเชื้อ เราสามารถป้องกันตนเองด้วยวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก (Dengue Vaccine) ซึ่งเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถช่วยป้องกันอาการป่วยด้วยไข้เลือดออกได้ โดยประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้เลือดออก ประวัติการติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อนหน้าที่จะได้รับวัคซีน และอายุของผู้ได้รับวัคซีน
ทำไมต้องตรวจสุขภาพประจำปี การตรวจสุขภาพประจำปี อาจถูกหลายคนมองข้ามถึงความสำคัญ เพราะคิดว่าร่างกายมีความแข็งแรงสมบูรณ์ดี อีกทั้งไม่แสดงถึงอาการเจ็บป่วย
ทำไมต้องตรวจสุขภาพประจำปี การตรวจสุขภาพประจำปี อาจถูกหลายคนมองข้ามถึงความสำคัญ เพราะคิดว่าร่างกายมีความแข็งแรงสมบูรณ์ดี อีกทั้งไม่แสดงถึงอาการเจ็บป่วย หรือความผิดปกติใด ๆ แต่ความสำคัญของการตรวจสุขภาพประจำปีนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาความเสี่ยงของโรค หรือภาวะต่าง ๆ ที่ยังไม่แสดงอาการออกมา เพื่อเตรียมการรับมือในการรักษาแต่เนิ่น ๆ อีกทั้งยังช่วยลดความรุนแรง และภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ นอกจากนี้ยังเป็นการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการรักษาอีกด้วย ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำเกี่ยวกับการตรวจสุขภาพประจำปีกันค่ะ . การตรวจสุขภาพประจำปี คืออะไร การตรวจทั่ว ๆ ไปในผู้ที่ไม่มีอาการผิดปกติ เพื่อตรวจคัดกรอง ค้นหาโรคที่อาจแฝงอยู่ในร่างกาย แต่ไม่แสดงอาการออกมา หรือตรวจเพื่อหาปัจจัยเสี่ยง รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ดังนั้นการตรวจประจำปีจึงมีประโยชน์ทั้งกับผู้ที่เข้ารับการตรวจ เพราะช่วยให้รับมือกับโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที . การตรวจสุขภาพประจำปีต้องตรวจกี่ครั้ง สำหรับการตรวจสุขภาพประจำปีต้องตรวจอะไรบ้าง หรือความถี่ในการตรวจนั้นขึ้นอยู่กับอายุ สุขภาพโดยรวม ประวัติครอบครัว และรูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละคน โดยปกติโปรแกรมการตรวจสุขภาพประจำปีเบื้องต้นจะแบ่งตามเพศ และอายุ โดยแพทย์แนะนำให้ตรวจทุก 1 ปี และสำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษอาจจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจที่บ่อยขึ้น . การตรวจสุขภาพเบื้องต้นมีอะไรบ้าง การตรวจสุขภาพเบื้องต้นที่สามารถตรวจเบื้องต้นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงของกลุ่มคนวัยทำงานขึ้นไปจนถึงผู้สูงอายุ - การตรวจร่างกายทั่วไป เป็นการตรวจร่างกายพื้นฐาน โดยแพทย์จะสอบถามประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัว รวมถึงประวัติอาการต่าง ๆ ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ประวัติการแพ้ยา และพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ร่วมกับการตรวจร่างกายเบื้องต้น เช่น การตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจหาดัชนีมวลกาย และการตรวจร่างกายเบื้องต้นโดยแพทย์ เพื่อให้แพทย์สามารถแยกโรคต่าง ๆ ได้ในเบื้องต้น - การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เพื่อหาความผิดปกติของส่วนประกอบของเลือด ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด การประเมินความเข้มข้นของเลือด เพื่อบอกถึงสภาวะผิดปกติ เช่น ภาวะโลหิตจาง ภาวะที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันของร่างกาย จำนวนเกล็ดเลือด และความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว - การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด (FPG) และค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1C) เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคเบาหวาน - การตรวจวัดระดับไขมันในเลือด เพื่อตรวจวัดระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ รวมถึงไขมันชนิดดีและไม่ดี เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง - การตรวจวัดระดับกรดยูริก เป็นการตรวจเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเก๊าท์ - การตรวจวัดการทำงานของไต โดยการตรวจเลือดเพื่อดูระดับค่าครีเอตินิน ซึ่งเป็นของเสียที่เกิดขึ้นจากกล้ามเนื้อ และค่า Blood Urea Nitrogen (BUN) ซึ่งเป็นค่าของเสียที่เกิดจากการย่อยสลายโปรตีน เพื่อประเมินความสามารถในการขับของเสียของไต - การตรวจวัดการทำงานของตับ เป็นการตรวจเพื่อหาภาวะตับอักเสบ ตับเสื่อมสภาพ ภาวะดีซ่าน โดยการตรวจหาเอ็นไซม์และสารต่าง ๆ เพื่อตรวจดูความผิดปกติของตับ และทางเดินน้ำดี - การตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ โดยตรวจวัดจากระดับฮอร์โมนในเลือด เพื่อตรวจสอบการทำงานของต่อมไทรอยด์ว่าทำงานได้อย่างปกติหรือไม่ - การตรวจไวรัสตับอักเสบ ไวรัสตับอักเสบบีสามารถตรวจคัดกรองจากการติดเชื้อเบื้องต้นได้จากส่วนประกอบของเชื้อ HBsAg และการตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HBsAb ส่วนไวรัสตับอักเสบซี สามารถตรวจคัดกรองการติดเชื้อเบื้องต้นได้จาก Anti-HCV - การตรวจสารบ่งชี้มะเร็ง อาทิ การตรวจสารบ่งชี้มะเร็งทางเดินอาหาร (CEA) การตรวจสารบ่งชี้มะเร็งตับ และตรวจสารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายทุกช่วงวัย - การตรวจปัสสาวะ เป็นการตรวจเพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคในระบบทางเดินปัสสาวะเบื้องต้น รวมถึงโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคเบาหวาน - การตรวจอุจจาระ เป็นการตรวจเพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารเบื้องต้น ได้แก่ ภาวะการอักเสบติดเชื้อในลำไส้ พยาธิ รวมถึง - การตรวจหาภาวะเลือดปนในอุจจาระ ซึ่งอาจเกิดจากแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ ริดสีดวงทวาร รวมไปถึงโรคมะเร็งทางเดินอาหาร - การตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เป็นการตรวจเพื่อช่วยประเมินการทำงานของหัวใจในขณะพัก เพื่อดูความผิดปกติของการทำงานของหัวใจ เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ การนำไฟฟ้าที่ผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด การเอกซเรย์ปอด เป็นการตรวจเพื่อดูความผิดปกติในทรวงอก เช่น ขนาดของหัวใจ วัณโรค และโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ภายในปอด - การตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้อง เป็นการตรวจเพื่อหาความผิดปกติของอวัยวะที่สำคัญในช่องท้อง เช่น ตับ ไต ตับอ่อน ม้าม เส้นเลือดใหญ่ที่อยู่ภายในช่องท้อง รวมถึงมดลูกและรังไข่ในผู้หญิง และต่อมลูกหมากในผู้ชาย - การตรวจวัดความสามารถในการมองเห็นและความดันของลูกตา เป็นการตรวจสุขภาพตาทั่วไป และค้นหาความเสี่ยงของภาวะต้อ การตรวจสุขภาพประจำปีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง จึงมีความจำเป็น และความสำคัญ เพราะจะทำให้ได้รู้ว่าร่างกายของตัวเองมีโรคใดที่ซ่อนอยู่หรือไม่ หากตรวจพบความผิดปกติจะได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง นอกจากนี้การตรวจสุขภาพยังจะได้ คำแนะนำของการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลอีกด้วย
ระวัง!…6 โรครับเปิดเทอมที่มากับฤดูฝน
ระวัง!…6 โรครับเปิดเทอมที่มากับฤดูฝน . ในช่วงหน้าฝนในช่วงเปิดเทอมแบบนี้ เด็กเล็กและเด็กวัยเรียน มีความเสี่ยงป่วยง่ายจากโรคติดต่อ เช่น โรคมือ เท้า ปาก โรคหวัด โรคไข้หวัดใหญ่ ตาแดง อาหารเป็นพิษ และไข้เลือดออก ซึ่งแต่ละโรคมีอาการแตกต่างกัน ที่คุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองควรทราบ เพื่อสังเกตอาการของเด็กๆ ให้ดี . 1.โรคตาแดง โรคตาแดงมีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสที่เยื่อบุตา ติดต่อได้จากการสัมผัสขี้ตา น้ำตาของคนที่เป็นโรคตาแดง หากมีอาการตาแดง ควรมาพบแพทย์ และใช้ยาหยอดตาตามที่แพทย์สั่ง หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ และหลีกเลี่ยงการขยี้ตา . 2.โรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้หวัดใหญ่จะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ไอ จาม น้ำมูกไหล บางคนอาจมีอาการรุนแรงจนทำให้ปอดบวม . วิธีป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อไข้หวัดใหญ่และโรคหวัด คือ ล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลล้างมือ สอนให้เด็กเช็ดน้ำมูก และปิดปากปิดจมูกเวลาไอ หรือจาม ไม่อยู่ใกล้ชิดกับคนที่ป่วย . 3.โรคมือเท้าปาก เด็กจะมีตุ่มแดงอักเสบที่ปาก ลิ้น เหงือก กระพุ้งแก้ม มีตุ่มน้ำใส หรือผื่นนูนสีแดงเล็กๆ ที่มือ และเท้า บางคนอาจมีผื่นที่แขน ขา หัวเข่า ศอก หรือที่ก้น และมักจะมีไข้ร่วมด้วย วิธีการป้องกันคือ ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ และดูแลความสะอาดอยู่เสมอ ไม่คลุกคลี หรือสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่ป่วยเป็น โรคมือ เท้า ปาก . 4.โรคไข้เลือดออก ต้องระวังให้มากๆ อย่างที่รู้กัน โรคไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ถ้ามีอาการไข้สูงที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ควรมาพบแพทย์ และต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หากมีอาการอาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด แสดงถึงอันตราย เด็กอาจจะมีภาวะช็อก ซึ่งจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาโดยด่วน ส่วนวิธีการป้องกันคือระวังอย่าให้ยุงลายกัด ทำความสะอาดบ้าน และกำจัดแหล่งน้ำขังอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย . 5.โรคอาหารเป็นพิษ ตอนกินนั้นอร่อย แต่พออาเจียน ปวดท้อง ท้องเสียนั้นสุดจะทรมาน โรคอาหารเป็นพิษเกิดจากการกินอาหาร และน้ำดื่ม ที่ปนเปื้อนสารพิษจากแบคทีเรีย จึงควรใส่ใจความสะอาดตามหลักสุขาภิบาล รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ๆ สะอาด ล้างมือก่อนรับประทานอาหารให้ติดเป็นนิสัย หากพบว่ามีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง และอ่อนเพลียมาก ควรรีบพบแพทย์ทันที . 6.โรคอีสุกอีใส เป็นโรคติดต่อที่มาด้วยอาการไข้ ออกผื่น พบมากในเด็ก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลา-ซอสเตอร์ โดยทั่วไปจะพบอัตราการป่วยได้สูงสุดในกลุ่มอายุ 5-9 ปี รองลงมาคือ 0-4 ปี, 10-14 ปี, 15-24 ปี และ 25-34 ปี ตามลำดับ ในคนที่อายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปอาจพบได้บ้าง โรคนี้มีโอกาสเกิดได้ใกล้เคียงกันทั้งหญิงและชาย การป้องกันโรคนั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องเฝ้าสังเกตอาการของลูกๆอย่างใกล้ชิด หากมีอาการผิดปกติ หรือมีอาการใดที่บ่งชี้ได้ว่าอาจเป็นโรคใดโรคหนึ่ง ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจ วินิจฉัย และรักษาโดยเร็วที่สุด
มะเร็งปากมดลูก มะเร็งร้าย...ที่ป้องกันได้
จากสถิติขององค์การอนามัยโลกในปี 2563 มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 4 ของผู้หญิงทั่วโลก ในปัจจุบันเราทราบว่าเชื้อ Human Papillomavirus หรือเชื้อ HPV เป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูก . ผู้หญิงทุกคนที่แต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์แล้วมีโอกาสติดเชื้อไวรัส HPV ได้ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่ภูมิคุ้มกันของร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อจะสามารถกำจัดเชื้อไวรัสออกไปได้โดยไม่ก่ออาการหรือโรค แต่บางคนอาจติดเชื้อซ้ำหรือร่างกายกำจัดไวรัสออกไปไม่หมด ทำให้พัฒนากลายเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกได้ . ไวรัส HPV คืออะไร ไวรัส HPV มีมากกว่า 200 สายพันธุ์ แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ - ไวรัส HPV กลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อย (low-risk HPVs): ส่วนใหญ่ไม่ทำให้เกิดโรค แต่บางสายพันธุ์อาจทำให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ปากหรือลำคอ - ไวรัส HPV กลุ่มที่มีความเสี่ยงมาก (high-risk HPVs): มีอยู่ประมาณ 16 สายพันธุ์ โดยสายพันธ์ที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งมากที่สุดคือ สายพันธุ์ 16 และ 18 . ไวรัส HPV ติดต่อกันได้อย่างไร ประมาณ 85% ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะทางช่องคลอด ทางทวารหนักหรือทางปาก ทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนักและมะเร็งกล่องเสียงได้ อีก 15% อาจติดจากมือที่สัมผัสกับไวรัส และไปสัมผัสกับปากมดลูกที่มีแผลหรือมีรอยปริแยก ทำให้ไวรัสเข้าไปในปากมดลูก . สัญญาณเตือนของโรคมะเร็งปากมดลูกมีอะไรบ้าง โรคมะเร็งปากมดลูกมักใช้เวลานานหลายปีกว่าจะพัฒนาจนแสดงอาการออกมา ผู้ป่วยมักมีอาการเมื่อเป็นมะเร็งในระยะที่ 2 ไปแล้ว โดยอาการมีดังนี้ - มีเลือดออกผิดปกติ เช่น หลังการมีเพศสัมพันธ์ ประจำเดือนมากผิดปกติหรือนานกว่าปกติ เลือดออกหลังหมดประจำเดือน - มีตกขาวเพราะการอักเสบติดเชื้อ มีกลิ่น - หากมะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ผู้ป่วยอาจมีอาการ เช่น ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะมีเลือดปน ท้องเสีย มีเลือดออกทางทวารหนัก รู้สึกเจ็บปวดบริเวณท้อง/อุ้งเชิงกราน . ใครบ้างที่มีความเสี่ยง ถึงแม้สาเหตุหลักในการเกิดมะเร็งปากมดลูกคือการติดเชื้อ HPV แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกมากขึ้น ดังนี้ - ผู้ที่ไม่ตรวจแปปสเมียร์ร่วมกับตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกปี - มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันหรือมีคู่นอนหลายคน - สูบบุหรี่ - มีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ เช่น ติดเชื้อ HIV - รับประทานยาคุมกำเนิดเป็นระยะเวลานาน - ตั้งครรภ์และมีบุตรมากกว่า 3 คนขึ้นไป มีวิธีการรักษาโรคมะเร็งปากมดลูกอย่างไร โรคมะเร็งปากมดลูกมีโอกาสในการรักษาให้หายสูง หากเจอตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม วิธีการรักษาแบ่งตามระยะที่พบโรค ดังนี้ - ระยะก่อนมะเร็ง ผู้ป่วยมีเซลล์ที่ผิดปกติแต่ยังไม่ได้พัฒนาเป็นมะเร็ง เซลล์ผิดปกติในระยะที่ 1: รักษาด้วยการจี้ร้อนหรือจี้เย็น เพื่อทำลายเซลล์ที่ผิดปกติ เซลล์ผิดปกติในระยะที่ 2 และ 3: รักษาด้วยการตัดปากมดลูกเป็นรูปกรวยเพื่อเอาเซลล์ที่ผิดปกติออกด้วยห่วงลวดไฟฟ้า เป็นการผ่าตัดเล็กและเจ็บปวดน้อย ไม่ได้ทำให้เสียความสามารถในการมีบุตร - ระยะเป็นมะเร็ง การรักษาแบ่งตามระยะของมะเร็ง มะเร็งระยะที่ 1: รักษาโดยการผ่าตัดและรังสีรักษา มีโอกาสหายประมาณ 80-85% มะเร็งระยะที่ 2 และระยะที่ 3: เป็นระยะที่ลุกลามไปถึงอวัยวะข้างเคียง เนื้อเยื่อข้างๆตัวปากมดลูกหรือช่องคลอดต้นๆ รักษาโดยการใช้รังสีรักษาและเคมีบำบัด และในบางกรณีอาจต้องมีการผ่าตัด ในระยะ 2 มีโอกาสหาย 70-75% ในระยะ 3 โอกาสหายลดลดเหลือ 60-65% มะเร็งระยะที่ 4: เป็นระยะลุกลาม มะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะที่ไกลออกไป เช่น ตับหรือปอด รักษาโดยการใช้รังสีรักษาและเคมีบำบัด เป็นระยะที่รักษาได้ยากและอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด . โรคมะเร็งปากมดลูกป้องกันได้หรือไม่ โรคมะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันได้ ถึงแม้ป้องกันไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สามารถลดความเสี่ยงลงไปได้มาก ด้วยการป้องกันดังนี้ - การฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HPV ควรฉีดทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ควรฉีดก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกหรือตั้งแต่อายุ 9 ขวบขึ้นไป - การตรวจแปปสเมียร์ร่วมกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก - ใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย - งดสูบบุหรี่ พร้อมเปิดให้บริการแบบเต็มรูปแบบเร็ว ๆ นี้ โรงพยาบาลเออีซี AEC Hospital / aechospital.com “การรักษาพยาบาล ที่ไร้พรมแดน”
ข่าวดี! สำหรับคุณผู้หญิง โรงพยาบาลเออีซี ร่วมกับ โรงพยาบาลเอเชียอินเตอร์เนชั่นแนล
ข่าวดี! สำหรับคุณผู้หญิง โรงพยาบาลเออีซี ร่วมกับ โรงพยาบาลเอเชียอินเตอร์เนชั่นแนล . เปิดให้บริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ด้วยวิธี HPV DNA Test ที่สะดวก ง่าย รวดเร็ว แม่นยำและไม่มีค่าใช้จ่าย . รับสิทธิประกันสังคมและสิทธิบัตรทองทุกโรงพยาบาล การตรวจ HPV DNA Test คือการตรวจในระดับโมเลกุล เพื่อหาเชื้อ HPV ความเสี่ยงสูงทั้ง 14 สายพันธุ์ ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกประมาณ 99% โดยมีวิธีการตรวจเหมือน ตรวจภายใน คือเก็บเซลล์บริเวณตัวอย่างที่ปากมดลูกช่องคลอดด้านใน ส่งตรวจเหมือนวิธีการตรวจด้วยน้ำยา ซึ่งสามารถที่จะตรวจหาเซลล์และแยกน้ำยาเพื่อจะตรวจหาเชื้อ HPV DNA . ใครบ้างที่ควรตรวจ หญิงไทยอายุ 30 - 59 ปี ทุกคน หรือหญิงไทยอายุ 15 - 29 ปี ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย มีคู่นอนหลายคน ไม่ใช้ถุงยางอนามัย สามารถตรวจได้คนละ 1 ครั้งทุก 5 ปี . มะเร็งปากมดลูก คือโรคมะเร็งร้ายอันดับต้นๆของผู้หญิงไทย การตรวจคัดกรองเป็นประจำ ช่วยลดความเสี่ยงได้ ทางโรงพยาบาลเออีซีขอเชิญชวนหญิงไทยทุกท่านตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ด้วยเทคโนโลยี HPV DNA Test . เงื่อนไข : หญิงไทยอายุ 30-59 ปีทุกคน หรือ หญิงไทยอายุ 15-29 ปีที่มีความเสี่ยงสูง (ได้แก่ ผู้มีเพศสัมพันธ์ ตั้งแต่อายุน้อย มีคู่นอนหลายคน ไม่ใช้ถุงยางนามัย คนละ 1 ครั้ง ทุก ๆ 5 ปี) . ทางโรงพยาบาลเออีซี ให้บริการแบบนอกสถานที่ทั้งโรงงาน สถานประกอบการ เทศบาลอบต. โรงเรียนและมหาวิทยาลัย . ติดต่อนัดหมายได้ที่ โทร:061-350-6197
โรงพยาบาลเออีซีให้บริการหน่วยตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ Mobile Check up
โรงพยาบาลเออีซีให้บริการหน่วยตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ Mobile Check up . บริการออกหน่วยเคลื่อนที่ตรวจสุขภาพประจำปีให้กับ พนักงานบริษัท, หน่วยงานภาครัฐฯ, ภาคเอกชนทั่วไป โดยเราให้บริการตรวจสุภาพในและนอกสถานที่ให้บริการตรวจสุขภาพ โดยทีมแพทย์ พยาบาล รถเอกซเรย์เคลื่อนที่ ออกให้บริการที่สถานที่สถานประกอบการ ซึ่งท่านจะได้รับความสะดวกสบายในการรับบริการและไม่เสียเวลา ค่าใช้จ่าย ในการเดินทางมารับบริการที่โรงพยาบาล . พร้อมให้บริการ - ตรวจสุขภาพประจำปี - ตรวจสุขภาพ Work Permit - ตรวจสุขภาพก่อนเริ่มงาน - หน่วยฉีดวัคซีนนอกสถานที่ - ตรวจฟรีตามสิทธิ์ประกันสังคม 14 รายการ - ตรวจสุขภาพปัจจัยเสี่ยง (อาชีวอนามัย) . สอบถามรายละเพิ่มเติมได้ที่ 061-350-6197 สามารถติดตามความรู้เกี่ยวกับสุขภาพหรือข่าวสารต่างๆของโรงพยาบาลเออีซีได้ที่ เพจ Facebook โรงพยาบาลเออีซี พร้อมเปิดให้บริการแบบเต็มรูปแบบเร็ว ๆ นี้ โรงพยาบาลเออีซี AEC Hospital “การรักษาพยาบาล ที่ไร้พรมแดน”
แนะนำ! ควร "ตรวจสุขภาพ" อะไรบ้าง? ให้เหมาะสมกับวัยของตัวเอง
ด้วยสภาพร่างกายและปัจจัยเสี่ยงของแต่ละเพศแต่ละวัยของแต่และคนนั้นมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน การเลือกรายการตรวจสุขภาพให้เหมาะนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ และเราทุกคนก็ควรได้รับการตรวจสุขภาพเป็นประจำตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงวัยชราเลยทีเดียว แล้วแต่ละช่วงวัยควรตรวจอะไรบ้าง? ▶️กลุ่มเด็กแรกเกิด จนถึงวัยรุ่นไม่เกิน 20 ปี - ตรวจสุขภาพตามรายการมาตรฐาน ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง คำนวณค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) หากน้อยไปหรือมากไป จะได้ปรับการรับประทานและการออกกำลังกายให้เหมาะสมตามวัย - ตรวจพัฒนาการด้านต่างๆ ตามช่วงอายุ และรับวัคซีนตามช่วงวัย - ตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน - ตรวจสุขภาพดวงตา สายตาและการมองเห็น ▶️กลุ่มวัยรุ่นตอนปลาย ผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 20-30 ปี ช่วงปลายวัยรุ่นวัยเรียนและเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน หลายคนอาจละเลยการดูแลสุขภาพ เพราะคนในวัยนี้ส่วนใหญ่ยังแข็งแรง ไม่ค่อยมีการเจ็บป่วยจากความเสื่อมของร่างกาย แต่อย่างน้อยควรได้รับการตรวจสุขภาพพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอปีละ 1 ครั้ง เพราะบางคนอาจมีรอยโรคบางอย่างที่เป็นมาแต่กำเนิดแต่ยังไม่เคยตรวจพบ หรือบางรายอาจมีโรคที่เกิดจากความเสี่ยงทางพันธุกรรมยางอย่าง หรือโรคอื่นๆ ที่สามารถตรวจได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยให้มีการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต หลักเลี่ยงการเพิ่มความเสี่ยง รักษาหรือชะลอโรคไม่ให้ลุกลาม ▶️กลุ่มผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 30-40 ปี คนในวัยทำงานส่วนมากมักมีรูปแบบการใช้ชีวิตซ้ำๆ การรับประทานอาหารแบบเดิมๆ ที่เน้นความรวดเร็ว ดื่มน้ำน้อย ยิ่งหากขาดการออกกำลังกาย มีความเครียดสะสม นอนดึก คุณภาพการนอนไม่ดี จึงมักมีภาวะน้ำหนักตัวเกินและไขมันในเลือดสูง ซึ่งเป็นต้นเหตุของหลายโรค ดังนั้นจึงควรตรวจสุขภาพพื้นฐานให้ครบถ้วน ดังนี้ - ความสมบูรณ์ของระบบเลือด เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว - ความยืดหยุ่นของหลอดเลือด - ระดับไขมันและน้ำตาลในเลือด - ตรวจสุขภาพปอดด้วยการเอกซเรย์ปอด - ตรวจค่าการทำงานของตับและไต - ตรวจกรดยูริก - ตรวจสมรรถภาพหัวใจ ด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography : EKG) - ตรวจปัสสาวะ - อัลตร้าซาวด์ช่องท้อง - ตรวจสุขภาพดวงตา วัดสายตา ความดันลูกตา ▶️ กลุ่มอายุ 40-50 ปี ตรวจพื้นฐานเหมือนกับอายุ 30-40 ปี และตรวจเพิ่มเติมละเอียดมากขึ้น เช่น ตรวจคัดกรองมะเร็ง ตรวจฮอร์โมน การทำงานของปอด ภาวะไขมันพอกตับที่นำไปสู่โรคตับแข็งและมะเร็งตับ ตรวจการทำงานหัวใจให้ละเอียดขึ้น เพราะโรคร้ายหรือภัยแฝงสุขภาพในช่วงวัยนี้พี่พบบ่อยขึ้น คือภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน อันมีสาเหตุมาจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ หลอดเลือดหัวใจตีบ และจากการมีคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ ดังนั้นจึงควรตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน (EXERCISE STRESS TEST : EST) กับตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiogram : Echo) เพิ่มเติม ทั้งนี้สำหรับเพศชายและเพศหญิงยังมีสิ่งที่ควรตรวจเพิ่มเติมที่แตกต่างกัน คือ ผู้หญิง ควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยเครื่อง Mammogram แต่อาจต้องตรวจเร็วขึ้นก่อนอายุ 40 ปี ถ้ามีประวัติว่าคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมในขณะที่อายุน้อยๆ ผู้ชาย ควรตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก ▶️กลุ่มอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป นอกจากรายการตรวจพื้นฐานและการตรวจเพิ่มเติมในช่วงวัย 40-50 ปี แล้ว ในวัย 50 ปีขึ้นไปควรตรวจเพิ่มเติมเพื่อเน้นการค้นหาโรคแฝง โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดสมอง หลอดเลือดห้วใจ มะเร็ง ตรวจภูมิคุ้มกันที่มักลดลงตามวัย ดังนั้นควรพิจารณาเพิ่มรายการตรวจต่างๆ เหล่านี้ เช่น - ตรวจวัดระดับสารอาหารวิตามิน เช่น วิตามินดี - CT Heart Calcium Score ตรวจภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โดยการวัดระดับแคลเซียมหรือหินปูนที่ผนังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ บริเวณลิ้นหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ - MRI and MRA Brain ตรวจดูเนื้อสมอง ความเสี่ยงโรคสมองขาดเลือด เนื้อสมองฝ่อ มะเร็งสมอง - Low Dose CT Scan Lung ตรวจโรคปอด คัดกรองมะเร็งปอดอย่างละเอียด - CT Intra-Abdominal Fat วัดปริมาณไขมันในช่องท้องซึ่งสัมพันธ์หรือบอกถึงความเสี่ยงโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือสมอง โรคความดันโลหิตสูง - Carotid Intima Thickness and Color Doppler ตรวจวัดการอุดตันและการไหลเวียนเลือดของเส้นเลือดแดงใหญ่บริเวณคอที่นำเลือดไปเลี้ยงสมอง หาความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน (Stroke) นอกจากนี้ยังมีการตรวจยีน (Gene Testing) เพื่อหาความเสี่ยงการเกิดโรคก็มีความสำคัญ สามารถบอกความเสี่ยงการเกิดโรคได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ต้องรอให้ผลเลือดผิดปกติ ช่วยวางแผนดูแลสุขภาพทั้งการออกกำลังกาย อาหาร การตรวจทางการแพทย์ที่เหมาะสมตามความเสี่ยงทางพันธุกรรม ▶️กลุ่มผู้สูงอายุ วัย 60 ปีขึ้นไป ตรวจร่างกายทั่วไป ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง BMI และวัดความดันโลหิต อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ตรวจสุขภาพตา อายุ 60-64 ปี ตรวจทุก 2-4 ปี อายุ 65 ปีขึ้นไป ตรวจทุก 1-2 ปี เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการมองไม่ชัด การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเป็น - ตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของไต ควรตรวจทุกปี เพื่อตรวจคัดกรองความผิดปกติของไต - ตรวจหาเบาหวาน ควรตรวจทุกปี - ตรวจหาไขมันในเลือด ควรตรวจทุก 5 ปี - ตรวจหาภาวะซีด ควรตรวจทุกปี เมื่ออายุ 70 ปีขึ้นไป - ตรวจปัสสาวะ ควรตรวจทุกปี เพื่อคัดกรองความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ - ตรวจคัดกรองมะเร็ง - มะเร็งลำไส้ใหญ่ ตรวจอุจจาระทุกปี - มะเร็งเต้านม ตรวจทุกปีจนถึงอายุ 69 ปี - มะเร็งปากมดลูก ตรวจทุก 3 ปีจนถึงอายุ 65 ปี - ประเมินสภาวะสุขภาพในผู้สูงอายุ - ภาวะโภชนาการ เพื่อลดภาวะทุพโภชนาการ และได้รับสารอาหารอย่างเหมาะสม - ความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการป้องกันการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต - ความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน เพื่อป้องกันการเกิดกระดูกหัก - ภาวะสมองเสื่อม เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่เหมาะสมในการดำรงชีวิต - ภาวะซึมเศร้า เพื่อคัดกรองภาวะซึมเศร้า โรงพยาบาลเออีซี / aechospital.com
โรคร้ายต้องระวัง...ในช่วงสงกรานต์
ช่วงสงกรานต์เป็นอีกหนึ่งเทศกาลแห่งความสนุกสนาน แต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยโรคร้ายต่างๆ เนื่องจากเป็นช่วงหน้าร้อนที่มีการเพิ่มจำนวนของเชื้อโรคได้ง่ายอีกทั้งความอับชื้นจากกิจกรรมเล่นน้ำในช่วงสงกรานต์ ซึ่งพวกเรา โรงพยาบาลเออีซี ได้รวบรวมมาให้แล้วดังนี้ โรคร้ายที่ต้องระวัง ‼ 1. โรคไวรัสตับอักเสบเอ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสติดต่อกันผ่านทางน้ำลาย โดยในช่วงเทศกาลเล่นน้ำอาจทำให้มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ใช้แก้วน้ำร่วมกัน ใช้ช้อนร่วมกัน 2. ตาแดง ตาอักเสบ การติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจเป็นเชื้อที่อยู่ในอากาศ ถ้าหากเป็นการติดเชื้อที่ดวงตาจากน้ำสกปรกจะเป็นโรคตาอักเสบ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ดวงตาจะเป็นหนองบวมและอักเสบ 3. เชื้อรา โดยเฉพาะบริเวณซอกต่าง ๆ ตามร่างกาย อย่างซอกนิ้วมือ นิ้วเท้า ขาหนีบ บริเวณข้อพับต่าง ๆ 4. ท้องร่วง ท้องเสีย เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสที่ปนเปื้อนในอาหาร ฤดูร้อนเป็นฤดูที่เชื้อโรคเพิ่มจำนวนได้ง่าย ทำให้มีความเสี่ยงสูง 5. ไข้หวัด ปอดอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อ ทางระบบทางเดินหายใจ ซึ่งการเล่นน้ำทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ข้อมูลจาก อ. นพ.ประวัฒน์ จันทฤทธิ์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมเปิดให้บริการแบบเต็มรูปแบบเร็ว ๆ นี้ โรงพยาบาลเออีซี AEC Hospital “การรักษาพยาบาล ที่ไร้พรมแดน” สอบถามเพิ่มเติม Line Official : https://lin.ee/A6fw75A เว็บไซต์ : www.aechospital.com TIKTOK : https://www.tiktok.com/@aec.hospital?_t=8kfpY9TdmBV&_r=1 Google Maps: https://maps.app.goo.gl/9roXpf9kQ8LSPC5o7?g_st=ic