หน้าหลัก บทความสุขภาพ
สัญญาณเตือน มะเร็งปอด เสียงแหบ 1 ในอาการ ปัจจัยเสี่ยงมากกว่าบุหรี่
กรมการแพทย์ เผยปัจจัยเสี่ยง มะเร็งปอด ที่ไม่ได้มีเฉพาะบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า จับสัญญาณเตือน เสียงแหบเป็นหนึ่งในอาการ หากมีอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า มะเร็งปอด เป็นมะเร็งที่คนทั่วโลกป่วยและเสียชีวิตมากที่สุด จากสถิติองค์การอนามัยโลกพบว่า แต่ละปีมีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 2.5 ล้านคน เสียชีวิตประมาณ 1.8 ล้านคน สำหรับประเทศไทยโรคมะเร็งปอดถือเป็น 1 ใน 5 ของมะเร็งที่พบบ่อย ซึ่งพบมากเป็นอันดับ 2 ในเพศชาย และอันดับ 3 ในเพศหญิง แต่ละปีจะมีผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่ประมาณ 17,947 ราย เป็นเพศชาย 11,060 ราย และเพศหญิง 6,887 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 15,022 ราย หรือคิดเป็น 41 รายต่อวัน มะเร็งปอด แบ่งได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ มะเร็งชนิดเซลล์ขนาดเล็ก (small cell lung cancer) พบได้ประมาณ 10-15% มะเร็งชนิดเซลล์ไม่ใช่ขนาดเล็ก (non-small cell lung cancer) พบได้ประมาณ 85-90% เนื่องจากปอดเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการนำก๊าซออกซิเจนจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบเลือดและนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดออกสู่สิ่งแวดล้อม ดังนั้น หากเป็นมะเร็งปอดระยะลุกลามความรุนแรงต่อชีวิตจึงค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม หากตรวจให้พบเจอได้ตั้งแต่ระยะแรกจะมีโอกาสรักษาหายสูง แต่ความน่าวิตกคือผู้ป่วยมะเร็งปอดมักมาพบแพทย์เมื่อโรคลุกลามไปมากแล้วทำให้การรักษาทำได้ยากขึ้น หรืออาจเพียงการรักษาแบบประคับประคอง เรืออากาศเอกนพ.สมชาย ธนะสิทธิชัย ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า มะเร็งปอดมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญมาจากการสูบบุหรี่หรือการได้รับควันบุหรี่มือสอง การสัมผัสสารก่อมะเร็ง เช่น แร่ใยหิน รวมถึงมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านพันธุกรรมที่อาจส่งผลต่อการเกิดโรค อาการของมะเร็งปอดมักโดยทั่วไปมักไม่เฉพาะเจาะจง และอาจคล้ายคลึงกับโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ เช่น ไอเรื้อรัง ไอมีเสมหะปนเลือด หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ มีเสียงหวีด เจ็บหน้าอกหรือหัวไหล่ เสียงแหบ ปอดติดเชื้อบ่อย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หากมีอาการเหล่านี้เรื้อรังควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย กระบวนตรวจวินิจฉัยมะเร็งปอดเริ่มจากการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการตรวจเอกซเรย์ทรวงอกหรือ CT scan หากพบสิ่งผิดปกติ แพทย์จะทำการเก็บชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยาด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การส่องกล้องหลอดลม การเจาะชิ้นเนื้อ หรือการผ่าตัดเล็ก นอกจากนี้อาจมีการตรวจ PET scan เพื่อประเมินการแพร่กระจายของโรค และในบางกรณีแพทย์อาจส่งตรวจทางพันธุกรรมของเนื้องอกเพื่อช่วยกำหนดแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคลอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น แม้ในปัจจุบันจะยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดที่มีประสิทธิภาพในระดับประชากร แต่สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นเวลานาน อาจพิจารณาให้เข้ารับการตรวจคัดกรองด้วยเอกซเรย์ปอดหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้รังสีต่ำ (Low-Dose CT Scan) เพื่อค้นหาความผิดปกติตั้งแต่ระยะเริ่มต้น อย่างไรก็ตาม การป้องกันที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ พญ.ณัษฐา พิภพไชยาสิทธิ์ แพทย์เฉพาะทางสาขาอายุรศาสตร์มะเร็งวิทยา สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่าการรักษาโรคมะเร็งปอดจะต้องพิจารณาจากองค์ประกอบหลายอย่าง ได้แก่ ชนิดของเซลล์มะเร็ง ระยะของโรค รวมถึงสภาวะความแข็งแรงของผู้ป่วย โดยการรักษาในปัจจุบันนั้น ประกอบไปด้วย การผ่าตัด การฉายรังสี การให้ยาเคมีบำบัด การรักษาด้วยยามุ่งเป้าทำลายเซลล์มะเร็ง และ/หรือการรักษาด้วยยากระตุ้นภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งอาจต้องใช้การรักษาร่วมกันหลายวิธี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการรักษา เช่น หากเป็นชนิดเซลล์ขนาดเล็ก การรักษาหลักคือการฉายรังสีร่วมกับยาเคมีบำบัด แต่ถ้าหากเป็นชนิดไม่ใช่เซลล์ขนาดเล็กที่มะเร็งยังไม่ลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง การรักษาหลักคือการผ่าตัดและตามด้วยยาเคมีบำบัด ในบางกรณีหากโรคเริ่มลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง จำเป็นต้องได้รับการรักษาหลายชนิดร่วมกัน แต่ถ้าหากโรคลุกลามไปมากแล้ว การรักษาด้วยยาต่าง ๆ จะเป็นการรักษาหลัก ไม่ว่าจะเป็นยาเคมีบำบัด ยามุ่งเป้า และยากระตุ้นภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นต้น มะเร็งปอดถือว่าเป็นมะเร็งที่มีความรุนแรงของโรคค่อนข้างมากส่งผลกระทบต่อชีวิตสูง อีกทั้งการตรวจคัดกรองเพื่อค้นหามะเร็งในระยะแรกค่อนข้างลำบากทำให้ประสิทธิภาพของการรักษามีข้อจำกัด ทางที่ดีที่สุดคือควรมุ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการรักษาโดยสาเหตุที่สำคัญของการเกิดมะเร็งปอดนั้นเกิดจากบุหรี่ จึงควรหยุดสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดผู้ที่สูบบุหรี่ อยู่อาศัยในสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายหากต้องปฏิบัติงานในสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และหมั่นตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ขอขอบคุณข้อมูลจาก : กรุงเทพธุรกิจ
ซิฟิลิสระบาด รู้ไว รักษาทัน
ซิฟิลิสระบาด รู้ไว รักษาทัน . ซิฟิลิสเป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ทรีโพนีมา แพลลิดัม (Treponema pallidum) ปัจจุบันแนวโน้มการติดเชื้อซิฟิลิส เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น รักร่วมเพศ หญิงตั้งครรภ์ ถ้าไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ สามารถนำไปสู่อาการและภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและระยะยาวได้ . ซิฟิลิสติดต่อได้อย่างไร 1. การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก และปาก 2. สัมผัสแผลโดยตรงผ่านผิวหนังที่ฉีกขาดหรือเยื่อบุอ่อนของร่างกาย การจูบปาก 3. รับเลือดจากผู้ติดเชื้อ หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน 4. จากแม่สู่บุตรขณะตั้งครรภ์ . วิธีการป้องกัน . - งดเว้นการมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่นอนของตนเอง - งดเว้นการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่มีแผลที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก ปาก - ใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ โดยแผลที่เป็นซิฟิลิสต้องอยู่ภายในถุงยางอนามัยด้วย - การตรวจสุขภาพ ตรวจเลือดคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ ในกรณีที่มีประวัติได้รับความเสี่ยงการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ หรือคู่นอนติดเชื้อหรือสงสัยติดเชื้อซิฟิลิส - งดมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ติดเชื้อซิฟิลิส จนกว่าจะรักษาหายเป็นปกติ - หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ขณะหรือหลังมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีการใช้ยากล่อมประสาทหรือยาเสพติด เพราะนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันได้ . ขอขอบคุณข้อมูลจาก: ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย . โรงพยาบาลเออีซีพร้อมให้บริการทุกสิทธิ์การรักษา เรื่องสุขภาพให้โรงพยาบาลเออีซีดูแลคุณ
โควิดรอบใหม่ สายพันธุ์ XEC แพร่เร็วควบคู่ไข้หวัดใหญ่ หมอเตือนเสี่ยงติดเชื้อซ้อน
โควิดรอบใหม่ สายพันธุ์ XEC แพร่เร็วควบคู่ไข้หวัดใหญ่ หมอเตือนเสี่ยงติดเชื้อซ้อน . ตัวเลขผู้ป่วยโควิดพุ่งกว่า 7 หมื่นราย หลังสงกรานต์ – เด็ก 0-4 ปีกลุ่มเสี่ยงสูงสุด แพทย์ชี้มาตรการ NPI สำคัญกว่าวัคซีน เฝ้าระวังช่วงเปิดเทอม แต่ไม่จำเป็นต้องปิดโรงเรียน . วันนี้ (15 พ.ค. 2568) สถานการณ์โควิด-19 ยังน่าเป็นห่วง ตัวเลขผู้ป่วยพุ่งหลังสงกรานต์ ข้อมูลล่าสุดจากกรมควบคุมโรค ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 พบผู้ป่วยโควิด-19 สะสมแล้ว 71,067 คน เสียชีวิต 19 คน โดยแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ (สัปดาห์ที่ 16) ที่มีการเดินทางและการรวมตัวของประชาชนจำนวนมาก . ข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่าในปีนี้ ระหว่างเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ ประเทศไทยพบการระบาดของสายพันธุ์ XEC เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนที่มีความสามารถในการแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว . พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า การระบาดครั้งนี้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะหลังเทศกาลสงกรานต์ ขณะเดียวกันยังพบไข้หวัดใหญ่ระบาดควบคู่กัน ซึ่งแม้จะมีแนวโน้มลดลง แต่ยังสูงกว่าค่ามัธยฐานของ 5 ปีย้อนหลัง ทำให้ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด . เจาะลึกสายพันธุ์ XEC กับการระบาดระลอกใหม่ สายพันธุ์ XEC ที่พบการระบาดในประเทศไทยเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน มีลักษณะการแพร่กระจายที่รวดเร็วกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า อาจเป็นสาเหตุให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา . ศาสตราจารย์เกียรติคุณ วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์รายการรวันใหม่วาไรตี้ Thai PBS เช้านี้(15 พ.ค.)ว่า ก่อนสงกรานต์ สายพันธุ์หลักคือ JN.1 แต่หลังสงกรานต์พบการระบาดของ XPB และ KP.2 เพิ่มขึ้น ซึ่ง KP.2 ยังสามารถป้องกัน JN.1 ได้ในระดับหนึ่ง ทำให้มีการพัฒนาวัคซีนแบบ Monovalent ที่เน้นสายพันธุ์เดียว” . สำหรับอาการของผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ XEC นั้น คล้ายคลึงกับโควิด-19 สายพันธุ์ก่อนหน้า ได้แก่ มีไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก แต่ที่สำคัญคือไม่มีอาการเฉพาะอย่าง “ไม่ได้กลิ่น” หรือ “ไม่รู้รส” เหมือนที่เคยพบในช่วงการระบาดระลอกแรกๆ ซึ่งทำให้การวินิจฉัยแยกโรคจากไข้หวัดใหญ่หรือไข้หวัดธรรมดาทำได้ยากขึ้น . กลุ่มเด็กอายุ 0-4 ปี เสี่ยงสูงสุด พ่อแม่ควรเฝ้าระวังช่วงเปิดเทอม ข้อมูลที่น่าเป็นห่วงคือ กลุ่มเด็กอายุ 0-4 ปี เป็นกลุ่มที่มีอัตราป่วยสูงที่สุด โดย พญ.สิปาง ปังประเสริฐกุล อาจารย์ประจำสาขาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า “ประเทศไทยพบผู้ป่วยโควิด-19 สะสมกว่า 41,000 ราย ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 8 พฤษภาคม 2568 โดยกลุ่มเด็กอายุ 0–4 ปี คือกลุ่มที่มีอัตราป่วยสูงที่สุด และส่วนใหญ่ติดเชื้อจากสายพันธุ์ XEC” . โควิด-19 กับไข้หวัดใหญ่ การระบาดซ้อนที่ต้องเฝ้าระวัง ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 น่าเป็นห่วง ไข้หวัดใหญ่ก็กลับมาระบาดควบคู่กัน โดยข้อมูลจากกรมควบคุมโรคระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 14 พฤษภาคม 2568 พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สะสมถึง 328,103 ราย (อัตราป่วย 500.40 ต่อประชากรแสนคน) และมีผู้เสียชีวิต 33 ราย แม้แนวโน้มผู้ป่วยจะลดลง แต่ยังสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลัง จบพันธุ์ A มีประสิทธิภาพราว 68% และ B ประมาณ 32% ขณะนี้เราพบเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั้งชนิด A และ B โดยสายพันธุ์ B มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และมักถูกมองข้ามว่าไม่รุนแรง ทั้งที่จริงแล้วมีความรุนแรงไม่ต่างจากสายพันธุ์ A . ข้อขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยพีบีเอช
เตือนภัย มีคนเสียชีวิตด้วยโรคแอนแทรกซ์ ในพื้นที่อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร 1 ราย
เตือนภัย! มีคนเสียชีวิตด้วยโรคแอนแทรกซ์ ในพื้นที่อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร 1 ราย มีประวัติสัมผัสวัว ควาย ตามวิถีชาวบ้าน และล่าสุดกินเนื้อวัวดิบในงานบุญฯ เห็นว่ากินกันหลายคน แต่โชคดีที่รู้แล้วว่าเป็นแอนแทรกซ์รายต่อๆไปน่าจะรักษาได้ตรงจุดได้ไว . โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย ‘บาซิลลัส แอนทราซิส’ (Bacillus anthracis) มันสามารถสร้างสปอร์ทนทานสภาพแวดล้อมได้นานเป็นสิบปี อยู่ตามดิน พืชผัก หรือซากสัตว์ที่ปนเปื้อนสปอร์ พอมีโอกาสก็แฝงตัวเข้าสู่คนทาง 3 ทางหลัก . 1. แอนแทรกซ์ผิวหนัง (Cutaneous Anthrax) - พบมากที่สุด (95% ของผู้ติดเชื้อ) - อาการ: เริ่มจากตุ่มคัน กลายเป็นแผลสีดำ (eschar) มีเนื้อตายล้อมด้วยวงบวมแดง - อัตราตาย: น้อยกว่า 1% ถ้ารีบรักษาทัน . 2. แอนแทรกซ์ระบบหายใจ (Inhalational Anthrax) - อันตรายที่สุด! เกิดจากการสูดสปอร์เข้าไป - อาการระยะแรก คล้ายไข้หวัดใหญ่ ไข้สูง ไอ เหนื่อย แล้วไประยะช็อกทำให้หายใจลำบาก ตัวเขียว โลหิตเป็นพิษ - อัตราตาย: สูงกว่า 80% ถ้ารักษาช้า . 3. แอนแทรกซ์ทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Anthrax) - ติดเชื้อจากการกินเนื้อสัตว์ป่วยที่ไม่สุก - อาการ: ปวดท้องรุนแรง อาเจียน ถ่ายเป็นเลือดสีดำ - อัตราตาย: 25-60% . อย่าลืมนะครับ เน้นกินสุก 100% และถ้าไปเจอสัตว์ตายโดยไม่รู้สาเหตุอย่าเอามาชำแหละกินกัน ถ้าพบสัตว์ตายผิดปกติรีบหนีให้ห่าง และให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที . ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก หมอแล็บแพนด้า
ฮีทสโตรก (Heat Stroke) อันตรายจากอากาศร้อนที่ไม่ควรมองข้าม
ฮีทสโตรก (Heat Stroke) อันตรายจากอากาศร้อนที่ไม่ควรมองข้าม . ฮีทสโตรก (heat stroke) หรือที่เรียกว่าโรคลมแดด เป็นภาวะรุนแรงที่เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนสูง ทำให้เกิดการสูญเสียการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ส่งผลให้อาจหมดสติ ชัก และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ บทความนี้จะมาอธิบายถึงอาการ สาเหตุ กลุ่มเสี่ยง วิธีปฐมพยาบาล และการป้องกันโรคฮีทสโตรก เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในช่วงหน้าร้อน . อาการ ฮีทสโตรก (heat stroke) อาการของฮีทสโตรก สามารถแบ่งออกได้ตามความรุนแรงของอาการ ดังนี้: อาการเบื้องต้น - ปวดศีรษะ และมีอาการเวียนหัว - ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ - เหงื่อออกมาก หรือบางครั้งเหงื่อไม่ออกเลยในบางกรณีที่ร่างกายร้อนเกินไปจนระบบขับเหงื่อหยุดทำงาน อาการรุนแรง - ขาดน้ำจากการสูญเสียความร้อน - ฮีทสโตรกหรือโรคลมแดด มีภาวะชัก หมดสติ หรือการเต้นของหัวใจผิดปกติ . ฮีทสโตรก อันตรายแค่ไหน ความร้ายแรงของฮีทสโตรก คือ ร่างกายมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น เมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นจะทำให้ระบบในร่างกายทำงานผิดปกติไป โดยความผิดปกติเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ มึนศีรษะ ปวดศีรษะ อันนี้เป็นอาการเริ่มต้น หลังจากนั้น ถ้าเราไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ ก็จะทำให้เกิดอาการฮีทสโตรก ก็จะมีอาการที่มีความรู้สึกตัวที่ผิดปกติไป อาจจะมีภาวะชัก หรือว่าการหมดสติจากการที่หัวใจเราเต้นผิดจังหวะได้ และสุดท้ายคือเสียชีวิตได้ . ฮีทสโตรกเกิดจากอะไร ฮีตสโตรก หรือ โรคลมแดด เกิดจากภาวะที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงมากจนทำให้เกิดภาวะที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ โดยอาการ ฮีทสโตรก ส่วนใหญ่มักจะเกิดในผู้ป่วยที่อยู่กลางแดดนาน ๆ และมีอุณหภูมิกายมากกว่า 40 องศาเซลเซียส ร่วมกับภาวะที่มีความรู้สึกตัวที่ผิดปกติไป เช่น อาจจะหมดสติหรือมีภาวะชักได้ ซึ่งจะแตกต่างจากกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นลมปกติ โดยที่ประวัติที่แตกต่างกันเลยคือ ผู้ป่วยที่เป็นลมปกติไม่ได้อยู่กลางแดด สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคลมแดด 1. อุณหภูมิที่สูง 2. ความชื้น ความชื้นที่สูงทำให้อากาศถ่ายเทไม่ดี ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นได้ 3. ภาวะแรงลม ถ้าไม่มีลม ก็ไม่สามารถพัดความร้อนได้ . กลุ่มเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะโรคลมแดดกลุ่มเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะโรคลมแดด 1. ผู้สูงอายุและเด็กเล็ก : กลุ่มนี้มีระบบการควบคุมอุณหภูมิร่างกายที่ไม่สมบูรณ์เท่าวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ ทำให้เกิดฮีทสโตรกได้ง่ายขึ้น 2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว : เช่น โรคพาร์กินสัน หรือโรคความดันโลหิตสูง มักมีภาวะการควบคุมอุณหภูมิที่ผิดปกติจากการใช้ยารักษาโรค 3. ผู้ทำงานกลางแจ้งหรือออกกำลังกายหนัก : เช่น คนงานก่อสร้าง นักกีฬา นักวิ่งมาราธอน หรือผู้ที่ต้องใช้แรงงานหนักกลางแจ้งเป็นเวลานาน 4. ผู้ที่ดื่มน้ำน้อยในหน้าร้อน : การขาดน้ำทำให้ร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนได้ตามปกติ . การปฐมพยาบาล ฮีทสโตรก ปฐมพยาบาลอย่างแรกคือ ต้องดูว่าคนไข้มีภาวะความรู้สึกตัวที่ผิดปกติไปหรือเปล่า ถ้ามีภาวะความรู้สึกตัวที่ผิดปกติไป ให้ไปคลำชีพจรดูว่าการหายใจเขาผิดปกติหรือเปล่า ถ้ามีการหายใจที่ผิดปกติ ต้องทำ CPR และโทร 1669 เพื่อเรียกรถพยาบาลมารับผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ในกลุ่มผู้ป่วยที่ยังมีความรู้สึกตัวที่ปกติดีอยู่ ก็สามารถนำผู้ป่วยเข้ามาในที่ร่มได้ และให้ผู้ป่วยดื่มน้ำให้เยอะ ๆ และรีบลดอุณหภูมิกายโดยการใช้น้ำแข็ง หรือการใช้ cool blanket คือการใช้ผ้ายาง ใส่น้ำแข็งลงไป แล้วให้ผู้ป่วยนอนอยู่ในตรงนั้น ถ้ามีพัดลม สามารถเปิดพัดลมได้ ถ้าใช้เป็นผ้าชุบน้ำ ในคนไข้ที่เป็นโรคกลุ่มฮีทสโตรก มักจะไม่ค่อยได้ผล แต่สามารถใช้ได้ โดยการเช็ดตัวให้เช็ดตัวเหมือนผู้ป่วยที่เป็นไข้ คือเช็ดสวนขึ้นมาเข้าทางหัวใจ เช็ดทางเดียว และเปิดพัดลม . วิธีป้องกันฮีทสโตรก 1. ดื่มน้ำให้มากขึ้นกว่าปกติ : โดยเฉพาะเมื่อต้องออกกำลังกายหรือทำงานในที่กลางแจ้ง 2. หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน : หากต้องออกกลางแจ้ง ควรใส่หมวกหรือกางร่มเพื่อป้องกันความร้อน 3. ใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี: เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถระบายความร้อนได้ง่ายขึ้น 4. พักในที่ร่มและมีลมพัดผ่าน : ควรหาที่พักในที่ที่มีการระบายอากาศดี เช่น ห้องที่มีพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ 5. ไม่ควรออกกำลังกายหนักในช่วงที่ อากาศร้อนจัด : เลือกช่วงเวลาที่อากาศเย็นลง หรือทำกิจกรรมในช่วงเช้าหรือเย็นแทน 6. ไม่ควรอยู่ในห้องปิด : เปิดประตู หน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก . ฮีทสโตรก (heatstroke) ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้ามในช่วงหน้าร้อน เพื่อความปลอดภัยของตนเองและคนรอบข้าง ควรเตรียมตัวและระมัดระวังไม่ให้เกิดภาวะนี้โดยการดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดนาน และดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเสมอ สามารถอ่านบทความเพิ่มเติม โรคลมแดด (heat stroke) ได้ที่นี่ . ข้อควรระวังคือ อย่าทำให้ร่างกายขาดน้ำ เตรียมน้ำ ดื่มน้ำเยอะ ๆ อาจจะต้องเยอะกว่าในฤดูอื่น . ขอขอบคุณ ข้อมูลโดย รศ. นพ.กานต์ สุทธาพานิชภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
กรมควบคุมโรค เตือนเข้าสู่กดูร้อน กลุ่มเสี่ยงและ คนทำงานกลางแจ้งระวัง โรคลมร้อนหรือฮีสโตรก
กรมควบคุมโรค เตือนเข้าสู่กดูร้อน กลุ่มเสี่ยงและ คนทำงานกลางแจ้งระวัง โรคลมร้อนหรือฮีสโตรก . กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนในช่วงฤดูร้อนให้ระวังการเกิดโรคลมร้อน หรือฮีทสโตรก (Heatstroke) สำหรับคนที่ทำงานกลางแจ้ง ควรเลี่ยงการสวมชุดที่มีสีเข้ม ควรดื่มน้ำสะอาดบ่อยๆ เข้าพักในที่ร่มเป็นระยะ และหากสูญเสียเหงื่อมาก ควรดื่มเครื่องดื่มประเภทเกลือแร่ เน้นย้ำโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคปอด เป็นต้น อาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ รวมถึงเด็กและหญิงตั้งครรภ์ ต้องระมัดระวังเช่นกัน . วันนี้ (18 มีนาคม 2568) นายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศให้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยในหลายพื้นที่เริ่มมีอากาศร้อนปกคลุม ซึ่งกรมอุตุฯ คาดการณ์ว่าอุณหภูมิปีนี้จะลดลงกว่าปีก่อนเล็กน้อย ซึ่งอากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้ประชาชนเสี่ยงต่อการป่วย จากภาวะอากาศร้อนได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะโรคลมร้อน หรือ ฮีทสโตรก (Heatstroke) ที่เกิดจากภาวะที่ร่างกายร้อนจัดจนส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย และเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงและผู้ที่ต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน ข้อมูลจาก กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รวบรวมรายงานการเสียชีวิตที่อาจจะเกี่ยวข้องกับความร้อน จากภาวะอากาศร้อนในปี พ.ศ. 2567 พบรายงานผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 63 ราย เป็นเพศชาย 54 ราย และเพศหญิง 9 ราย อายุระหว่าง 30 – 95 ปี (เฉลี่ย 62 ปี) ประกอบอาชีพรับจ้าง ร้อยละ 25 มีรายงานการเสียชีวิตใน 31 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี 9 ราย ชัยภูมิ นครราชสีมา และศรีสะเกษ จังหวัดละ 4 ราย ขอนแก่น บุรีรัมย์ สุรินทร์ และสมุทรสงคราม จังหวัดละ 3 ราย ชลบุรี ชัยนาท ปราจีนบุรี แพร่ ลำปาง ลำพูน และสุราษฎร์ธานี จังหวัดละ 2 ราย ฉะเชิงเทรา เชียงใหม่ นครนายก นครศรีธรรมราช น่าน ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ พระนครศรีอยุธยา พะเยา มหาสารคาม มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ระยอง สมุทรปราการ อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี จังหวัดละ 1 ราย . “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องจากภาวะอากาศร้อนสูงที่สุด ร้อยละ 54 นอกจากนี้ ผู้เสียชีวิต ส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 51 ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจและหลอดเลือด พฤติกรรมและปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การดื่มสุราในภาวะอากาศร้อน และการเสียชีวิตจากการปฏิบัติงานกลางแจ้ง ร้อยละ 62 หากจำแนกรายเดือน พบว่า มีรายงานการเสียชีวิตมากที่สุดในเดือนเมษายน ร้อยละ 70 ซึ่งเดือนเมษายน เป็นเดือนที่มีอุณหภูมิสูงถึง 44 องศาเซลเซียส (°C)” อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว . นายแพทย์ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ให้ข้อมูลโรคลมร้อน หรือ ฮีทสโตรก (Heatstroke) ว่าโรคนี้จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีอุณหภูมิความร้อนสูงมาก โดยเฉพาะอุณหภูมิที่มากกว่า 40 องศาเซลเซียส จนทำให้ร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ มีอาการ คือ ตัวร้อน วิงเวียน ปวดมึนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ภาวะขาดน้ำ เหงื่อออกมาก หัวใจเต้นแรง เป็นลม อาจมีอาการทางระบบประสาท เช่น ชัก พูดจาสับสน หากพบผู้เริ่มมีอาการดังกล่าว ขอให้รีบนำผู้ป่วยเข้าที่ร่มหรือห้องที่มีความเย็น และให้ดื่มน้ำมากๆ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ให้ผู้ป่วยนอนราบ คลายเสื้อผ้าให้หลวม ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามตัว ซอกคอ รักแร้ และศีรษะ ร่วมกับใช้พัดลมเป่าระบายความร้อน หากผู้ป่วยหมดสติ ให้จับนอนตะแคงเพื่อป้องกันไม่ให้โคนลิ้นอุดตันทางเดินหายใจ และให้รีบนำส่งโรงพยาบาล หรือโทรแจ้งสายด่วน 1669 . ทั้งนี้ สามารถป้องกันฮีทสโตรกได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคอ้วน เป็นต้น รวมทั้งเด็ก และหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งควรปฏิบัติดังนี้ 1. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีแดดจัดต่อเนื่องนานเกินไป 2. ดื่มน้ำสะอาดบ่อยๆ หากสูญเสียเหงื่อมากควรดื่มเครื่องดื่มประเภทเกลือแร่ 3. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 4. หลีกเลี่ยงสถานที่ที่อากาศร้อน อับ และถ่ายเทไม่ดี 5. สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ดี หลีกเลี่ยงใส่เสื้อผ้าสีทึบดำ เพราะจะสะสมความร้อนได้ ควรเลือกเสื้อผ้าสีอ่อน และไม่รัดแน่นจนเกินไป 6. ห้ามทิ้งใครไว้ในรถที่จอดอยู่กลางแดด โดยเฉพาะเด็กเล็ก รถที่จอดตากแดดโดยไม่เปิดเครื่องปรับอากาศอาจมีอุณหภูมิสูงขึ้นได้เร็วมากภายใน 10 – 20 นาที และ 7. ไม่ควรอยู่กลางแจ้งคนเดียว ควรอยู่เป็นกลุ่ม เพราะหากมีอาการผิดปกติจะได้มีคนช่วยเหลือได้ทัน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422 . ข้อมูลจาก : กองระบาดวิทยา/สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค วันที่ 18 มีนาคม 2568
ฤดูร้อนอยู่ที่นี่ คำเตือนที่เป็นไปได้สำหรับความร้อนสูงเกินไปคือ จังหวะความร้อนร่างกายไม่สามารถเย็นลงได้ทันเวลา เขาอาจจะหมดสติและเสียชีวิตได้
ฤดูร้อนอยู่ที่นี่ คำเตือนที่เป็นไปได้สำหรับความร้อนสูงเกินไปคือ จังหวะความร้อนร่างกายไม่สามารถเย็นลงได้ทันเวลา เขาอาจจะหมดสติและเสียชีวิตได้ ช่วงนี้อากาศเมืองไทยร้อนมาก อากาศร้อนขนาดไหน? คนแบบนี้สามารถถูกฆ่าได้ ไม่ค่อยพบเห็นในเมืองไทย แต่คุณควรตระหนักถึงสถานการณ์นี้ โรคลมแดดหรือโรคลมแดดมีสาเหตุหลักมาจากความร้อนในร่างกายมากเกินไป ช่องพระราม วันนี้ใครๆ ก็ควรรู้วิธีจัดการกับความร้อนจนกว่าร่างกายจะคลายความร้อนได้ โรคลมแดด หรือ โรคลมแดด เกิดจากอุณหภูมิสูงเกินไป ความร้อนสูงเกินไปสามารถแบ่งออกได้เป็นสองสาเหตุ 1. เมตาบอลิซึ่มในร่างกายสูงทำให้เกิดไข้ในกรณีที่อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น หรืออาจมีความผิดปกติในสมองซึ่งร่างกายไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้อีกต่อไป 2. ในฤดูร้อน มักพบในสภาวะที่มีอุณหภูมิภายนอก 35°C ขึ้นไป 3. สภาพแวดล้อมมีความชื้นสัมพัทธ์สูง ความชื้นสัมพัทธ์สูงทำให้ร่างกายของเราเหงื่อออก จะเพิ่มความร้อนในร่างกายและไม่สามารถกำจัดอุณหภูมิร่างกายได้ อาการที่เกิดจากความร้อนแบ่งออกเป็นหลายระยะ ฉันมักจะรู้สึกเหนื่อยเนื่องจากปวดเมื่อยตามร่างกาย โรคลมแดดเป็นอาการทั่วไปของการหมดสติและหมดสติ นี่คือสัญญาณของโรคลมแดดที่ชัดเจนที่สุด ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา คนกลุ่มไหนเป็นโรคลมแดด? 1. กลุ่มคนทำงานนอกบ้านและอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2. ผู้สูงอายุหรือเด็กที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เนื่องจากถูกขังอยู่ในห้องที่ไม่มีอากาศถ่ายเท ไม่มีลมพัดพาความร้อน จะต้องสัมผัสกับอุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน สุดท้ายฉันก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป แล้วจะทนความร้อนได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นในผู้สูงอายุ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “ภาวะขาดน้ำ : ผู้สูงอายุต้องระวัง” 3. นักกีฬาอย่างนักวิ่งมาราธอนต้องเผชิญกับอากาศร้อนจัด หรือมีความชื้นสูงสามารถป้องกันไม่ให้เหงื่อออกได้ มันทำให้ไวต่อความร้อนมากกว่าตัวอื่น 4. ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงแต่กำเนิด ควรใช้ยาขับปัสสาวะ 5. ผู้ติดสุรามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคลมแดดมากกว่าคนทั่วไป 6. สตรีมีครรภ์อาจเป็นลมและเป็นอันตรายต่อตนเองและทารกได้ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุณหภูมิในหญิงตั้งครรภ์ ดูแลและป้องกันความร้อน 1. ดื่มน้ำให้มากกว่าปกติประมาณ 2-3 ลิตรต่อวัน 2. ห้ามอยู่กลางแจ้งหรือในพื้นที่ปิด 3.หากต้องอยู่บ้านนานๆควรเปิดหน้าต่าง ต้องแยกกรณีอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ 2 กรณี คือ ผู้ป่วยหมดสติและไม่หายใจ 1,669 ราย และเรียกบริการการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อรักษาผู้ป่วยอย่างรวดเร็วและทำ CPR ณ ที่เกิดเหตุ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยยังสามารถหายใจได้ ให้ร่มเงาแก่ผู้ป่วยและแต่งตัวผู้ป่วย เช็ดตัวเองด้วยผ้าเย็น หรือใช้สเปรย์ทำความเย็น เข้ากันได้กับพัดลมบน ข้อมูลจากประชาชาติธุรกิจ สำนักงานส่งเสริมสุขภาพไทย
คุณหมอเจดเองเตือนว่าแม้แต่การกรนก็อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้ ระบุโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ มาดูวิธีการแก้ไขกัน บางคนอาจคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่
คุณหมอเจดเองเตือนว่าแม้แต่การกรนก็อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้ ระบุโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ มาดูวิธีการแก้ไขกัน บางคนอาจคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพ - นพ.เจส บุณย์วงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เปิดเผยว่า แค่กรนเท่านั้น เฟซบุ๊ก นพ. Kyaukjai กล่าว โรคไหนอันตราย? มาดูวิธีการแก้ไขกัน - การนอนกรนเป็นสิ่งที่หลายคนนึกถึง ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ใครๆ ก็กรน แต่จริงๆ แล้วมันเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่อันตรายมากกว่าที่คุณคิด เมื่อก่อนหนัก 110 กก. ต้องนอนเปิด CPAP แต่ตอนนี้อาการกรนหายแล้ว มาดูอันตรายของการนอนกรนกันดีกว่า แล้วเรามาดูวิธีการแก้ไขกัน - 1. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) นอกจากจะสับสนเรื่องการนอนแล้ว นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) ซึ่งเกิดจากการหายใจลำบากขณะนอนราบ ทำให้หยุดหายใจเป็นระยะๆ บางคนหยุดหายใจ 10-30 วินาที แล้วตื่นขึ้นมาเพื่อเริ่มหายใจอีกครั้ง ฉันไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งนี้ - แล้วอันตรายอยู่ที่ไหนล่ะ? เมื่อออกซิเจนในเลือดน้อยลง หัวใจก็ต้องทำงานหนักขึ้น โรคอะไรก็มาได้ บางคนตื่นขึ้นมาในตอนเช้าโดยรู้สึกเหนื่อยและง่วงนอนแม้จะนอนไปเต็มชั่วโมงแล้วก็ตาม - ใครบ้างที่เสี่ยงต่อ OSA? • ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือมีไขมันสะสมบริเวณคอ ผู้ที่มีคางเล็กหรือรูปหน้าทำให้ทางเดินหายใจตีบตัน นักดื่มผ่อนคลายกล้ามเนื้อคอก่อนเข้านอน - 2. ความดันโลหิตสูง (ความดันโลหิตสูง) เค็มมาก หลายๆ คนอาจจะทราบดีว่าอาหารที่มีไขมันหรือมันๆ สามารถเพิ่มความดันโลหิตได้ แต่นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้คนไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ การนอนกรนเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของความดันโลหิตที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิด มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? เมื่อเราคำราม ร่างกายจะเข้าสู่โหมดสลีป โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) “ขาดออกซิเจน” เป็นระยะๆ - สิ่งนี้ทำให้สมองและร่างกายตื่นตัวตลอดทั้งคืน แม้ว่าเราจะไม่รู้ก็ตาม ร่างกายจะต้องเป็นความลับ สิ่งต่างๆ เช่น ฮอร์โมนความเครียด อะดรีนาลีนและคอร์ติซอลกระตุ้นการหายใจ ฮอร์โมนเหล่านี้ทำให้เกิด หลอดเลือดตีบตัน ความดันโลหิตสูง กรนเสียงดังและหายใจไม่ออกบ่อยครั้ง แรงกดดันก็สูงขึ้น หากคุณกรน? กินอาหารที่ไม่ดีด้วย อันนี้ใหญ่ ทั้งสองจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ เสี่ยงต่อการตกเลือดในสมอง นอกจากนี้ไตยังทำงานหนักอีกด้วย เสี่ยงต่อภาวะไตวายอย่างรวดเร็ว - 3. อาการบวมน้ำที่ปอด หากเรากรนหนัก เราจะมีอาการหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) เป็นเวลานาน มันสามารถทำลายปอดของเราได้ ส่งผลให้มีน้ำท่วมปอด เพราะมันจะเกิดขึ้นเมื่อคุณหยุดหายใจ ออกซิเจนในเลือดจะลดลง - ร่างกายต้องพยายามชดเชยด้วยการเพิ่มความดันโลหิตไปที่ปอด ความดันโลหิตสูงในปอดสะสมและความดันในปอดสูงอาจทำให้เกิดได้ น้ำจากเส้นเลือดฝอยในปอดสามารถซึมเข้าไปในถุงลมทำให้เกิดโรคปอดบวมได้ - 4. สุขภาพจิตเสื่อมลง เสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า นอนกรนหรือหายใจขณะหลับ รบกวนการนอนหลับ หลายคนเคยประสบปัญหานี้ นอนหลับไม่ดี คุณจะรู้สึกหงุดหงิด การเปลี่ยนแปลงอารมณ์ สมองก็หมองคล้ำ เครียดง่าย ฉันไม่มีสมาธิอีกต่อไป เนื่องจากร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูพลังงานได้เต็มที่ เมื่อคุณตื่นขึ้นมา ดังที่ได้กล่าวไปแล้วคุณจะพบกับ ก็มีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้าได้เช่นกัน - ปัญหาใหญ่อีกประการหนึ่งคือการกรน ซึ่งหมายความว่าคนข้างๆ นอนไม่หลับ ซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวได้ บางคนทะเลาะกัน บางคนมีห้องนอนแยกแบบนี้ แต่โชคดีที่ภรรยาผมเป็นคนหลับง่ายและไม่รังเกียจ หากใครนอนกรนต้องรีบแก้ไข วิธีแก้ปัญหาการนอนกรน? ลองปรับพฤติกรรมของคุณดังนี้ - • ควบคุมน้ำหนักของคุณ ถ้าอ้วนก็ลดน้ำหนักก่อน • นอนตะแคงเพื่อลดความเสี่ยงที่ลิ้นจะหลุดและไปปิดกั้นทางเดินหายใจ • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเข้านอน แอลกอฮอล์ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อในลำคอ • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เสริมสร้างกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ • ใช้ยาสูดพ่น CPAP ทุกคนที่มีปัญหา OSA รุนแรงโดยใช้เครื่องนี้ควรปรึกษาแพทย์ • พบแพทย์และตรวจสุขภาพเป็นประจำ • หากคุณกรนหนักหรือมีอาการนอนไม่หลับ คุณควรได้รับการทดสอบการนอนหลับ - ดังนั้นปล่อยมันไว้ที่นี่
หมอแล็บเตือน "โรคไข้อีดำอีแดง" มักพบในเด็ก 5 15 ปี
หมอแล็บเตือน "โรคไข้อีดำอีแดง" มักพบในเด็ก 5-15 ปี ระบาดหนักในกลุ่มเด็กนักเรียน . ไข้อีดำอีแดงระบาด บางโรงเรียนต้องหยุดเรียน! . ไข้อีดำอีแดง (Scarlet Fever) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย สเตรปโตคอคคัสชนิดเอ มักจะเจอในเด็กวัยเรียน อายุ 5-15 ปี . แบคทีเรียชนิดนึ้สร้างสารพิษได้ ทำให้เกิดผื่นแดงขึ้นตามตัว เชื้อนี้สามารถติดต่อผ่าน: • การไอหรือจาม • การสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย น้ำมูก • การใช้ของร่วมกัน เช่น ของเล่น หรือข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อาการ ผู้ป่วยมักจะแสดงอาการภายใน 1 สัปดาห์หลังติดเชื้อ • มีไข้สูง • เจ็บคอ อาจมีหนองหรือจุดเลือดออกที่ต่อมทอนซิล • ผื่นแดงสากคล้ายกระดาษทราย เริ่มจากลำตัวและกระจายไปแขนขา มักไม่ขึ้นที่ใบหน้า แต่แก้มจะแดงและมีวงซีดรอบปาก • ลิ้นแดงเป็นปุ่มๆคล้ายสตรอเบอร์รี่ • อาการอื่น ๆ เช่น ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน ต่อมน้ำเหลืองโต หนาวสั่น และปวดท้อง เนื่องจากเป็นเชื้อแบคทีเรีย ก็เลยรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ ซึ่งถ้าไม่รักษาอาจเกิดอาการแทรกซ้อน เช่น โรคไข้รูมาติก หรือหน่วยไตอักเสบเฉียบพลันได้ . ถ้าพบการระบาดก็ควรให้หยุดเรียนหรือแยกตัวเด็กป่วยออกจากคนอื่นจนกว่าได้ยาปฏิชีวนะไปแล้วอย่างน้อย 24 ชั่วโมงจึงจะไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่นต่อไปนะครับ
"บุหรี่ซอมบี้" คืออะไร บุหรี่ไฟฟ้าผสม "เอโทมีเดท" สารอันตรายที่ใช้เป็นยาสลบทางการแพทย์
"บุหรี่ซอมบี้" คืออะไร บุหรี่ไฟฟ้าผสม "เอโทมีเดท" สารอันตรายที่ใช้เป็นยาสลบทางการแพทย์ . นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธบดีกรมการแพทย์ ระบุว่า การแพร่ระบาดของ “บุหรี่ซอมบี้” ในปัจจุบันกำลังมีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้น โดยพบการลักลอบจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์และสถานที่รวมกลุ่มต่างๆ พร้อมอ้างสรรพคุณว่าทำให้ผ่อนคลายและนอนหลับสบาย อย่างไรก็ตาม บุหรี่ซอมบี้ถือเป็นภัยรูปแบบใหม่ที่ส่งผลกระทบกับสุขภาพของผู้สูบมากมาย โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น . “บุหรี่ซอมบี้” คืออะไร บุหรี่ซอมบี้ คือ บุหรี่ไฟฟ้าที่มีการผสมสาร “เอโทมีเดท” (Etomidate) ลงไปเพื่อให้ออกฤทธิ์เหมือนยาเสพติด ซึ่งสารดังกล่าวเป็นยานำสลบที่ใช้ในทางการแพทย์ ออกฤทธิ์กดประสาท เมื่อนำมาผสมในบุหรี่ไฟฟ้าจะทำให้ผู้สูบมีอาการง่วงซึมอย่างรุนแรง อัตราการหายใจลดลง หรือเกิดภาวะหายใจช้าลงจนเป็นอันตราย ความดันโลหิตต่ำ คลื่นไส้ อาเจียน สับสน หมดสติ และหากสูดดมในปริมาณมาก ก็อาจนำไปสู่การหายใจลำบากหรือภาวะขาดออกซิเจน ทำให้หมดสติ หยุดหายใจ . นอกจากนี้ ยังเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว และอาจส่งผลให้ระบบการทำงานของหัวใจไม่เป็นปกติ โดยเฉพาะในกรณีของคนที่มรปัญหาหรือโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงและเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ แม้จะเลิกสูบไปแล้วก็ยังส่งผลในระยะยาวต่อฮอร์โมนที่ต่อมหมวกไต ทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ส่งผลให้การทำงานของกล้ามเนื้อผิดปกติ . เตือนวัยรุ่นอย่าลองใช้ สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) กรมการแพทย์ จึงออกมาเตือนกลุ่มวัยรุ่นและประชาชนทั่วไปที่คิดจะทดลองใช้ “บุหรี่ซอมบี้” หรือบุหรี่ไฟฟ้าที่มีการผสมยาและสารต่างๆ ลงไป ให้ตระหนักถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งร้ายแรงที่สุดอาจทำให้เสียชีวิต และไม่มีทางรู้ได้เลยว่าผู้ขายตั้งใจผสมสารชนิดในลงไป มากน้อยเพียงใด จึงอย่าหลงเชื่อคำชักชวนว่าปลอดภัยหรือลองแค่ครั้งเดียว . ทั้งนี้ ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมบุตรหลานอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการใช้จ่ายเงินที่มากขึ้น มีอาการง่วงซึมผิดปกติ มีการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มเพื่อน การเก็บตัวหรือหลบซ่อนในห้อง หากพบพฤติกรรมเหล่านี้ต้องรีบเข้าไปพูดคุยด้วยความรักและความเข้าใจ บอกกล่าวถึงอันตรายที่จะตามมา . หากประสบปัญหาเรื่องยาและสารเสพติด รวมถึงสุราและบุหรี่ สามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่สายด่วนบำบัดยาเสพติด 1165 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.pmnidat.go.th หรือเข้ารับการรักษาได้ที่สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) กรมการแพทย์ จังหวัดปทุมธานี และโรงพยาบาลธัญญารักษ์ในส่วนภูมิภาคทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลธัญญารักษ์เชียงใหม่ โรงพยาบาลธัญญารักษ์แม่ฮ่องสอน โรงพยาบาลธัญญารักษ์ขอนแก่น โรงพยาบาลธัญญารักษ์อุดรธานี โรงพยาบาลธัญญารักษ์สงขลา และโรงพยาบาลธัญญารักษ์ปัตตานี หรือโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง ข้อมูลจาก Sanook
อันตรายที่มองไม่เห็น เมื่ออนุภาคขนาดเล็กในบุหรี่ไฟฟ้า เปรียบเท่ากับ pm2.5
อันตรายที่มองไม่เห็น เมื่ออนุภาคขนาดเล็กในบุหรี่ไฟฟ้า เปรียบเท่ากับ pm2.5 . ไอระเหยจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า มีขนาดอนุภาคที่เล็กกว่าอนุภาคในควันบุหรี่มวน ใกล้เคียงกับขนาดของ pm 2.5 ซึ่งจะเข้าไปไนปอดเราได้ลึกมาก และอนุภาคที่เล็กมากนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะจับกับเนื้อเยื่อปอดและสามารถถูกดูดซึมสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวของ ศ. นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ . นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยโดยหนูทดลอง ให้หายใจเอาไอระเหยจากบุหรี่ไฟฟ้าเข้าไปวันละ 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5 วัน เมื่อผ่านไป 4 เดือน พบว่าเยื่อบุหลอดลมและถุงลมปอดมีการหลั่งสารเคมีที่บ่งบอกถึงการได้รับความระคายเคืองของเนื้อเยื่อ และมีการทำลายของเนื้อเยื่อปอด ซึ่งเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงระยะแรกของโรคถุงลมโป่งพองในหนูที่ได้รับควันบุหรี่ธรรมดา (Garcia-Arcos วารสาร Thorax 24 สิงหาคม 2559) . จากงานวิจัยที่ ศ. นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ได้นำมาเสนอ แสดงให้เห็นแล้วว่าบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ได้ปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดาเลย เปรียบเหมือนว่า “การที่ยางรถยนต์ระเบิดอาจทำให้อัตรายถึงแก่ชีวิตแต่เป็นสิ่งที่มองเห็นตรงหน้า แต่ถ้าหนูกัดสายเบรกขาดก็ทำให้ถึงตายเหมือนกัน แต่มันเกิดจากภายในไม่สามารถเห็นจากภายนอกได้” ละอองบุหรี่ไฟฟ้าก็เช่นกัน มันทำลายจากข้างใน ตอนนี้ยังไม่มีงานวิจัยที่ทำการศึกษาบุหรี่ไฟฟ้าระยะยาว เพราะยังอยู่ในระยะแรกที่เริ่มมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย แต่หากถึงเวลาที่ผลการศึกษาระยะยาวได้เผยแพร่ออกมาแล้ว จะสายเกินไปหรือไม่ที่คนไทยจะต้องมาเจ็บป่วย สูญเสียค่ารักษาพยาบาลแทนที่จะนำค่าใช้จ่ายนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นที่สร้างประโยชน์ได้มากกว่า . สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ที่มา: - ประกิต วาทีสาธกกิจ. 2560. บุหรี่ไฟฟ้า เสี่ยงโรคปอดโรคหัวใจไม่ต่างจากบุหรี่ธรรมดา. เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์ เพื่อการไม่สูบบุหรี่ แหล่งที่มา: https://www.xn--12c8dbdcakpak3h7al.com/ สืบค้นวันที่ 8 ธันวาคม 2564
เตือนไข้หวัดใหญ่ อาจรุนเเรงถึงชีวิต เเนะฉีดวัคซีนกระตุ้น
เตือนไข้หวัดใหญ่ อาจรุนเเรงถึงชีวิต เเนะฉีดวัคซีนกระตุ้น . ไข้หวัดใหญ่ ระบาดหนักช่วงเปลี่ยนผ่านฤดู ย้ำกลุ่มเสี่ยงรับวัคซีนป้องกัน นายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่อินฟลูเอนซ่า (Influenza Virus) สามารถจำแนกออกเป็น 4 ชนิด ได้แก่ ชนิด เอ บี ซี และดี โดยชนิดเอและบี มักก่อให้เกิดไข้หวัดตามฤดูกาล ผู้ป่วยอาจมีอาการเริ่มต้นเหมือนไข้หวัดทั่วไป (Common cold) ส่วนใหญ่สามารถหายได้ใน 1-2 สัปดาห์ แต่บางรายอาจมีความรุนแรงทำให้เกิดปอดอักเสบและเสียชีวิตได้โดยเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง . การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จะคล้ายคลึงกับไข้หวัดทั่วไป คือ ติดต่อโดยการหายใจเอาละอองน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วยที่ไอหรือจาม และการสัมผัสมือหรือการใช้สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ โทรศัพท์ ของเล่น รีโมทโทรทัศน์ เมื่อใช้มือมาขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อโรคก็จะเข้าสู่ร่างกายของเราได้โดยง่าย . ไข้หวัดใหญ่มักแสดงอาการที่อาจทำให้สับสนกับไข้หวัดทั่วไป โดยอาการแสดงเด่นๆ ได้แก่ ปวดศีรษะ ไอแห้ง มีน้ำมูกใส คัดจมูก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีไข้สูง และอ่อนเพลีย โดยอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที ทั้งนี้วิธีการรักษาส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาตามอาการในเบื้องต้น เช่น ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ในผู้ป่วยบางรายที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนหรืออาการรุนแรงแพทย์จะพิจารณาให้ยาฆ่าไวรัส ซึ่งจะเข้าไปยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส ทำไห้ลดระยะเวลาอาการเจ็บป่วย ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล และลดโอกาสการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น ซึ่งความจำเป็นในการใช้ยานี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย . ภาวะแทรกซ้อนของโรคที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น *ปอดอักเสบ การอักเสบของกล้ามเนื้อและเยื่อบุหัวใจ *ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท เช่น เนื้อสมองอักเสบหรือภาวะชัก . กลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน -หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป -เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 12 ปี -ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค (ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน) -ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป -โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง -ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน 100 กิโลกรัม หรือดัชนีมวลกายมากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร -ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ . การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สามารถทำได้โดย หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ไม่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด หรือถ้าจำเป็นควรใส่หน้ากากอนามัย รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ กินอาหารปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนกลาง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณดวงตา จมูก หรือปาก เพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สามารถติดต่อได้ตามช่องทางเหล่านี้ . นอกจากนี้ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี และที่สำคัญควรใส่หน้ากากอนามัยหากจำเป็นต้องอยู่ในสถานที่แออัดหรือมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ เช่น โรงพยาบาล สถานีขนส่งสาธารณะ ห้างสรรพสินค้าหรือตลาดที่มีคนจำนวนมาก เป็นต้น ข้อมูลจาก : กรมการเเพทย์ PPTV Online
โรคติดเชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส (hMPV) เชื้อที่ระบาดช่วงหน้าฝน ทำปอดอักเสบในเด็กเล็ก
โรคติดเชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส (hMPV) เชื้อที่ระบาดช่วงหน้าฝน ทำปอดอักเสบในเด็กเล็ก . โรคติดเชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส (hMPV) เป็นอีกหนึ่งไวรัสที่ก่ออาการในระบบทางเดินหายใจ และเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ก่อให้เกิดปอดอักเสบในเด็กเล็ก การติดเชื้อนี้มักพบในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี โรคนี้ยังไม่มียารักษาส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาตามอาการ ฉะนั้นหากลูกมีอาการไอ หอบเหนื่อย เป็นหวัด มีน้ำมูก ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อและทำการรักษาอย่างทันท่วงที . เชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัสคืออะไร เชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส (Humanmetapneumovirus: hMPV) คือ ไวรัสชนิดหนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับ RSV ที่ทำให้เกิดอาการติดเชื้อในทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน ซึ่งมักพบการระบาดในช่วงปลายฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาว คือตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม-ตุลาคม ส่วนใหญ่พบในกลุ่มเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ ในผู้ใหญ่และเด็กโต ที่มีภูมิต้านทานดีหากติดเชื้อนี้ อาจจะมีอาการเหมือนแค่เป็นหวัดธรรมดา หรือไม่มีอาการก็ได้ โดยเชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส สามารถติดต่อกันผ่านทาง น้ำมูก น้ำลาย ไอ หรือจาม . อาการ มีไข้ ไอเเละเป็นหวัด เจ็บคอ มีน้ำมูกและมีเสมหะ หายใจติดขัด หายใจเหนื่อย หอบ . การป้องกันการติดเชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันการติดเชื้อ hMPV การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงพาเด็กเล็กไปสถานที่ชุมชนที่มีคนเยอะ เลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วย การใส่หน้ากากอนามัย ไม่เอามือไปแคะจมูกหรือเอามือเข้าปาก และการล้างมือบ่อย ๆ เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อทางเดินหายใจ
สธ. เตือน! ฝุ่น PM 2.5 แนวโน้มเกินมาตรฐานถึง 15 ม.ค. ใน กทม. ปริมณฑล ภาคกลางและภาคเหนือ
สธ. เตือน! ฝุ่น PM 2.5 แนวโน้มเกินมาตรฐานถึง 15 ม.ค. ใน กทม. ปริมณฑล ภาคกลางและภาคเหนือ จากสภาพอากาศปิดและมีจุดความร้อนสูงขึ้นทั้งในและนอกประเทศ ประชาชน 38 ล้านคนเสี่ยงได้รับผลกระทบ . นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมทางไกลติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก ปี 2568 โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่งเข้าร่วมโดยกล่าวว่า สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2567 - 9 มกราคม 2568 ในภาพรวมพบจังหวัดที่มีค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน 37.5 มคก./ลบ.ม. หรือระดับสีส้ม จำนวน 53 จังหวัด . โดยวันนี้ พบเกินมาตรฐานระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพหรือสีแดง (75 มคก./ลบ.ม.ขึ้นไป) จำนวน 11 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ เพชรบุรี สมุทรสาคร สระบุรี นครปฐม พิษณุโลก นนทบุรี สมุทรปราการ ระยอง สมุทรสงคราม และราชบุรี ทั้งนี้ ค่าฝุ่น มีแนวโน้มจะเกินมาตรฐานไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2568 เนื่องจากการระบายอากาศต่ำ ทำให้มีสภาพอากาศปิด รวมทั้งพบจุดความร้อนทั้งในประเทศและต่างประเทศสูงขึ้น ฝุ่นละอองจึงมีแนวโน้มสะสมมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. ปริมณฑล ภาคกลาง และภาคเหนือ . นายสมศักดิ์กล่าวต่อว่า มลพิษอากาศเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก เป็น 1 ใน 5 ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และเป็นปัจจัยเสี่ยงก่อโรคมะเร็ง ทั้งยังทำให้อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยลดลง 1.78 ปี กระทรวงสาธารณสุขจึงมีการเฝ้าระวังแจ้งเตือนประชาชนเมื่อค่าฝุ่นสูงและเตรียมความพร้อมดูแลสุขภาพ โดยมีประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบ 38 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และเด็กเล็ก รวม 15 ล้านคน . ขอบคุณข้อมูลจาก PPTV36
ตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว ตรวจหาโรคอะไรบ้าง
ตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว ตรวจหาโรคอะไรบ้าง . 1.“โรคเรื้อน” เป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากเชื้อ มัยโคแบคทีเรียม เลแพร เชื้อนี้ชอบ อาศัยอยู่ในเส้นประสาทและผิวหนัง เมื่อร่างกายพยายามกำจัดเชื้อนี้เส้นประสาทจึงถูกทำลายและทำให้เกิดอาการทางผิวหนังตามไปด้วย หากไม่รีบรักษาจะทำให้เกิดความพิการของมือ เท้า และตา 2.“โรคยาเสพติดให้โทษ“ อาการทางจิตจะเกิดขึ้น ต่อ การเสพยาเข้าไปใน ปริมาณมาก ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน คลุ้มคลั่ง ขาดสติ หวาดระแวงกลัวคนจะมาทำร้าย ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ อาจทำร้ายตัวเองและ ผู้อื่น 3. “วัณโรคระยะอันตราย“ ผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคเป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงชนิดหนึ่ง ซึ่ง โดยมากแล้วจะมีผลต่อปอด หรือที่เรียกว่า "วัณโรคปอด" ทั้งนี้ วัณโรคปอดเป็นโรคติดต่อและสามารถแพร่สู่คนผ่านละอองฝอยจากการไอและจามได้ 4. “โรคพิษสุราเรื้อรัง“ คือ กลุ่มที่ดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากติดต่อกันมาเป็นระยะ เวลานานจนไม่สามารถเลิกดื่มได้ ทำให้ส่งผลเสียต่อสภาพร่างกาย หรือการทํางาน ครอบครัว และสังคมรอบข้าง และเพื่อไม่ให้สุขภาพของผู้ป่วยมีปัญหามากขึ้นไปอีก การ หยุดดื่ม..ถือว่าเป็นทางแก้ปัญหาเพียงทางเดียว และที่สำคัญ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของ แพทย์เพื่อให้แนวทางการรักษาเป็นไปอย่างถูกวิธี 5. “โรคเท้าช้าง“ เป็นโรคที่เกิดจากหนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย มีลักษณะคล้ายเส้นด้าย อาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลือของคน โดยมียุงเป็นพาหะนำโรคมีอาการที่เห็นได้ชัด คือ บา แขน หรืออวัยวะเพศบวมโตผิดปกติ เนื่องจากภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลือง 6. “โรคซิฟิลิสในยะระที่ 3“โรคซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อ แบคทีเรีย ทรีโพนีมาพาลลิดัม (Treponema pallidum) เมื่อได้รับเชื้อจะกระจายไป ตามกระแสโลหิต ทำให้เกิดพยาธิสภาพได้เกือบทุกอวัยวะ ระยะที่สาม (ระยะแฝง) ระยะ นี้จะไม่ ปรากฏ อาการใดๆของโรค แต่สามารถตรวจพบเชื้อได้ในกระแสเลือด ผลเลือด ซิฟิลิสเป็นบวก ในสตรีที่มาฝากครรภ์และผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์มักพบโรค ซิฟิลิสระยะแฝง มากกว่าระยะอื่น 7. ตรวจการตั้งครรภ์ *สำหรับผู้หญิง 8. ตรวจโรคสุขภาพจิต
ไอกรนโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน
ไอกรนโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน . โรคไอกรน (Pertussis) โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella Pertussis ทำให้มีการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจและเกิดอาการไอ . การติดต่อ การไอ จาม การสัมผัสสารคัดหลั่ง ระยะเวลาฟักตัวของเชื้อโรค เฉลี่ย 7 - 10 วัน . อาการ ระยะแรก ประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ : มีน้ำมูก และไอ คล้ายโรคหวัดธรรมดา อาจมีไข้ต่ำ ๆ ตาแดง น้ำตาไหล ไอนานเกิน 10 วัน เป็นแบบไอแห้ง ๆ ระยะเข้าสู่ สัปดาห์ที่ 3 : ไอเป็นชุด ๆ ไม่มีเสมหะ จะเริ่มมีไอถี่ ๆ ติดกันเป็นชุด 5 - 10 ครั้ง ตามด้วยการหายใจเข้าอย่างแรงจนเกิดเสียง "วู๊ป (Whoop)" เป็นอยู่นาน 2 - 4 สัปดาห์ หรืออาจนานกว่านี้ได้ ในเด็กทารกอาจรุนแรง ถึงขั้นหน้าเขียว หยุดหายใจและอาจเสียชีวิต . การรักษา -พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่น -สวมหน้ากากอนามัย เมื่อมีไอหรือจาม -หลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นการไอ เช่น การออกแรง ฝุ่นละออง ควันไฟ ควันบุหรี่ -หลีกเลี่ยงไปที่ชุมชน ล้างมือบ่อย ๆ . ข้อมูลจาก: คณะเเพทย์วชิรพยาบาล . โรงพยาบาลเออีซี AEC Hospital “การรักษาพยาบาล ที่ไร้พรมแดน”
บริการตรวจสุขภาพขอใบรับรองแพทย์เพื่อทำใบอนุญาตทำงาน (Work Permit)
บริการตรวจสุขภาพขอใบรับรองแพทย์เพื่อทำใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) . ตรวจสุขภาพขอใบรับรองแพทย์เพื่อทำ Work Permitซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสุขภาพครอบคลุม 6 โรค *โรคเรื้อน (Leprosy) *วัณโรคระยะอันตราย (Advanced Pulmonary Tuberculosis) *โรคยาเสพติดให้โทษ (Drug Addiction) *โรคพิษสุราเรื้อรัง (Chronic Alcoholism) *โรคเท้าช้าง (Elephantiasis) *โรคซิฟิลิสในระยะที่ 3 (VDRL) . โรงพยาบาลเออีซีบริการออกหน่วยเคลื่อนที่ตรวจสุขภาพประจำปีให้กับ พนักงานบริษัท, หน่วยงานภาครัฐฯ, ภาคเอกชนทั่วไป โดยเราให้บริการตรวจสุภาพในและนอกสถานที่ให้บริการตรวจสุขภาพ โดยทีมแพทย์ พยาบาล รถเอกซเรย์เคลื่อนที่ ออกให้บริการที่สถานที่สถานประกอบการ ซึ่งท่านจะได้รับความสะดวกสบายในการรับบริการและไม่เสียเวลา ค่าใช้จ่าย ในการเดินทางมารับบริการที่โรงพยาบาล . สอบถามรายละเพิ่มเติมได้ที่ 061-350-6197
ใบรับรองแพทย์การตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวต้องตรวจอะไรบ้าง……
ใบรับรองแพทย์การตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวต้องตรวจอะไรบ้าง…… การตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว ในใบรับรองแพทย์จะต้องระบุตรวจผ่านให้ครบทั้ง 7 โรค ดังนี้ 1.“โรคเรื้อน” เป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากเชื้อ มัยโคแบคทีเรียม เลแพร เชื้อนี้ชอบ อาศัยอยู่ในเส้นประสาทและผิวหนัง เมื่อร่างกายพยายามกำจัดเชื้อนี้เส้นประสาทจึงถูกทำลายและทำให้เกิดอาการทางผิวหนังตามไปด้วย หากไม่รีบรักษาจะทำให้เกิดความพิการของมือ เท้า และตา 2.“โรคยาเสพติดให้โทษ“ อาการทางจิตจะเกิดขึ้น ต่อ การเสพยาเข้าไปใน ปริมาณมาก ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน คลุ้มคลั่ง ขาดสติ หวาดระแวงกลัวคนจะมาทำร้าย ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ อาจทำร้ายตัวเองและ ผู้อื่น 3. “วัณโรคระยะอันตราย“ ผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคเป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงชนิดหนึ่ง ซึ่ง โดยมากแล้วจะมีผลต่อปอด หรือที่เรียกว่า "วัณโรคปอด" ทั้งนี้ วัณโรคปอดเป็นโรคติดต่อและสามารถแพร่สู่คนผ่านละอองฝอยจากการไอและจามได้ 4. “โรคพิษสุราเรื้อรัง“ คือ กลุ่มที่ดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากติดต่อกันมาเป็นระยะ เวลานานจนไม่สามารถเลิกดื่มได้ ทำให้ส่งผลเสียต่อสภาพร่างกาย หรือการทํางาน ครอบครัว และสังคมรอบข้าง และเพื่อไม่ให้สุขภาพของผู้ป่วยมีปัญหามากขึ้นไปอีก การ หยุดดื่ม..ถือว่าเป็นทางแก้ปัญหาเพียงทางเดียว และที่สำคัญ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของ แพทย์เพื่อให้แนวทางการรักษาเป็นไปอย่างถูกวิธี 5. “โรคเท้าช้าง“ เป็นโรคที่เกิดจากหนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย มีลักษณะคล้ายเส้นด้าย อาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลือของคน โดยมียุงเป็นพาหะนำโรคมีอาการที่เห็นได้ชัด คือ บา แขน หรืออวัยวะเพศบวมโตผิดปกติ เนื่องจากภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลือง 6. “โรคซิฟิลิสในยะระที่ 3“โรคซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อ แบคทีเรีย ทรีโพนีมาพาลลิดัม (Treponema pallidum) เมื่อได้รับเชื้อจะกระจายไป ตามกระแสโลหิต ทำให้เกิดพยาธิสภาพได้เกือบทุกอวัยวะ ระยะที่สาม (ระยะแฝง) ระยะ นี้จะไม่ ปรากฏ อาการใดๆของโรค แต่สามารถตรวจพบเชื้อได้ในกระแสเลือด ผลเลือด ซิฟิลิสเป็นบวก ในสตรีที่มาฝากครรภ์และผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์มักพบโรค ซิฟิลิสระยะแฝง มากกว่าระยะอื่น 7. ตรวจการตั้งครรภ์ *สำหรับผู้หญิง