หน้าหลัก บทความสุขภาพ ผื่นกุหลาบ
Visited +5 Times
ผื่นกุหลาบ โรคผิวหนังที่มาพร้อมหน้าฝน! สาเหตุ อาการ วิธีรักษา
ผื่นกุหลาบ หรือที่บางครั้งก็เรียกว่า โรคขุยดอกกุหลาบ เป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน ถึงแม้จะไม่ใช่โรคที่อันตรายอะไร แต่กลับเป็นโรคที่สร้างความอับอาย สร้างปมด้อยให้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้พอสมควร เพราะ จะเกิดผื่นขึ้นทั่วร่างกาย ไม่เป็นที่น่ามองนั่นเอง มาทำความรู้จักกับโรค ผื่นกุหลาบ นี้กันเลยดีกว่า ว่าจะมีสาเหตุ อาการ วิธีรักษา อย่างไรบ้าง . ผื่นกุหลาบ คืออะไร มีสาเหตุจากอะไร? ผื่นกุหลาบ Pityriasis rosea (PR) เป็นโรคผิวหนังอักเสบที่พบได้บ่อยชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะเฉพาะ และมีอาการเฉียบพลัน เป็นโรคที่ไม่อันตราย และไม่ทำให้เสียชีวิต ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักหายจากโรคนี้ได้เอง โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ และเมื่อเป็นแล้วมักจะไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก (หรือโอกาสเกิดขึ้นซ้ำค่อนข้างน้อย) ผื่นกุหลาบเป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยนัก พบใน 0.3-3% ของคนทั่วไป โดยพบมากในวัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ อาจพบได้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อย และพบได้ตลอดทั้งปี แต่มักพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน สาเหตุของการเกิดโรคยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่น่าจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัสจากการสัมผัส และการใช้ยาบางประเภท ก็อาจกระตุ้นให้เกิดผื่นกุหลาบได้ เช่น แอสไพริน Barbiturates, Bismuth, Captopril, Clonidine, D-penicillamine, Ketotifen, Isotretinoin เป็นต้น โดยโรค ผื่นกุหลาบ ที่เกิดจากยากระตุ้น จะหายได้ช้ากว่าผื่นที่ไม่ได้เกิดจากยากระตุ้น . อาการของโรคผื่นกุหลาบ 1. มีผื่นขึ้นตามตัว โดยที่สุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี และมักไม่มีอาการไข้ แต่ในบางรายก็อาจพบอาการนำก่อนมีผื่นขึ้น ได้แก่ มีไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อ แต่พบได้น้อยมาก 2. ในระยะแรกเริ่ม จะมีผื่นอันแรกเกิดขึ้นในช่วง 1 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้น ก่อนที่จะมีผื่นขนาดเล็กจำนวนมากขึ้นตามมาในภายหลัง โดยผื่นปฐมภูมิ มักมีจำนวนเพียง 1 ผืน มีขนาดประมาณ 2-6 เซนติเมตร เป็นรูปวงรี รูปไข่ หรือวงกลม ตรงกลางของผื่นมีลักษณะย่น มีสีชมพู สีส้ม หรือสีเนื้อปลาแซลมอน ส่วนบริเวณรอบนอกของผื่น จะเป็นสีแดงเข้ม เห็นขอบผื่นชัดเจน ทั้ง 2 ส่วนนี้ จะแยกจากกันด้วยขุยหรือเกล็ดบางๆ ที่ขอบของผื่น มักเกิดขึ้นที่ผิวหนังบริเวณลำตัว (หน้าอก ต้นคอ) แต่ก็พบขึ้นที่หลัง คอ แขน หรือขาได้เช่นกัน 3. ต่อมาอีกประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะมีผื่นลักษณะเดียวกันที่เรียกว่า “ผื่นทุติยภูมิ” แต่มีขนาดเล็กกว่า ค่อย ๆ ทยอยขึ้นตามมา โดยผื่นจะขึ้นหมดในช่วง 2 สัปดาห์แรก และเป็นอยู่นานประมาณ 2-6 สัปดาห์ ก่อนจะค่อย ๆ จางจนหมดไปในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้าย ผื่นทุติยภูมิมักขึ้นกระจายทั้ง 2 ข้างของร่างกายเท่า ๆ กันตามลำตัว และส่วนที่ติดกับลำตัว คือ ลำคอ ต้นแขน ต้นขา ท้อง หน้าอก และหลัง ผื่นเป็นรูปวงรี มักจะขึ้นเรียงขนานกันไปตามแนวลายเส้นของผิวหนัง มีลักษณะคล้ายรูปตัว T 4. ผื่นมักจะหายไปได้เองภายใน 2-6 สัปดาห์ แต่ผู้ป่วยบางราย อาจมีผื่นอยู่นานถึง 3-4 เดือนหรือนานกว่า ทำให้มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า “โรคผื่นร้อยวัน” เพราะผู้ป่วยจะหายเองได้โดยเฉลี่ยที่ 3 เดือน หรือภายใน 100 วัน . ผลข้างเคียงของโรคผื่นกุหลาบ นอกจากอาการหลักตามที่กล่าวไปแล้ว ผื่นกุหลาบ ยังสามารถก่อให้เกิดอาการข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการคัน และบางส่วนอาจมีอาการคันรุนแรงมาก ในบางราย เมื่อผื่นค่อย ๆ หายไป ผิวหนังตรงรอยผื่นอาจมีสีดำคล้ำ คล้ายกับเมื่อเป็นสิวได้ แต่รอยดำคล้ำจะค่อย ๆ จางลงและหายไปเอง โดยไม่ทำให้เกิดแผลเป็นแต่อย่างใด เมื่อผื่นหาย อาจพบการเปลี่ยนแปลงของสีผิวหนังเป็นรอยขาว หรือรอยคล้ำดำ และมักพบการเปลี่ยนสีผิวเป็นรอยดำคล้ำ ในผู้ป่วยที่มีผิวสีเข้ม ผู้ป่วยโรคผื่นกุหลาบ ที่มีผื่นขึ้นนานกว่า 3 เดือน อาจเป็นโรค Pityriasis Lichenoides Chronica (PLC) มีรายงานการคลอดก่อนกำหนดในหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นผื่นกุหลาบ โดยเฉพาะการเกิดผื่นกุหลาบในขณะที่อายุครรภ์ไม่เกิน 15 สัปดาห์ ผู้ป่วยโรคผื่นกุหลาบ มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ โรคเซ็บเดิร์ม โรคสิว และรังแค สูงกว่าคนทั่วไป และมักมีการกำเริบของผื่นมากขึ้นในผู้ที่มีความเครียดสูง ทำให้เกิดความกังวลในภาพลักษณ์จากการมีผื่นที่ผิวหนัง . วิธีรักษาผื่นกุหลาบ โรคผื่นกุหลาบเป็นโรคที่สามารถหายได้เอง และไม่มีวิธีการรักษาเฉพาะ โดยแพทย์จะให้การรักษาตามอาการไปจนกว่าจะหายเอง โดยผู้ป่วย สามารถดูแลตัวเองในเบื้องต้น ตามคำแนะนำต่อไปนี้ เพื่อช่วยทำให้ผื่นหายเร็วยิ่งขึ้นได้ 1. หลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้ระคายเคืองต่อผิวหนัง และโรคมีอาการกำเริบ เช่น หลีกเลี่ยงการถูกน้ำ มีเหงื่อออก และสัมผัสสบู่ยาหรือสบู่หอม ควรใช้สบู่อ่อน ๆ เช่น สบู่เด็ก สบู่เหลว ไปก่อนระหว่างที่ยังมีอาการ 2. หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น หรือน้ำร้อนจัด เพราะสามารถกระตุ้นให้ผื่นเห่อขึ้นได้ 3. พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงความเครียด 4. ตากแดดทุกวันในช่วงเวลา 10 -14.00 น. วันละ 3-5 นาที เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าว แสงแดดจะมีรังสี UVB ในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยในการรักษาโรคผื่นกุหลาบอย่างได้ผลดี 5. ผื่นกุหลาบ ไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่ว่าจะทั้งจากการสัมผัส กิน ดื่ม หรือหายใจร่วมกัน ผู้ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องแยกตัวออกจากผู้อื่น และไม่จำเป็นต้องให้หยุดเรียน หรือไปทำงาน แม้ว่าผู้ป่วยจะมีผื่นขึ้นกระจายตามตัวมาก 6. ในรายที่เป็นไม่มาก เช่น มีอาการคันเพียงเล็กน้อย อาจไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษา และรอให้ผื่นหายเองภายใน 2-6 สัปดาห์ได้
หรือนัดหมายแพทย์ล่วงหน้า ได้ที่ ศูนย์ตรวจสุขภาพ โรงพยาบาลเออีซี
ช่องทางติดต่อเพิ่มเติม
034-428491, 034-428492, 034-428493, 034-428494 ต่อ 124,118
ทำไมแรงงานต่างด้าวจึงต้องตรวจสุขภาพ
ในปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่สำหรับบางคนหรือบางกลุ่มเท่านั้น สำหรับเราแล้วเรื่องสุขภาพสำคัญกับทุกคนทุกเชื้อชาติ แน่นอนว่าผู้ที่เป็นแรงงานต่างด้าวเองย่อมต้องการสุขภาพที่ดี ห่างไกลจากโรคร้ายเช่นเดียวกับบุคคลอื่น ๆ การตรวจสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่เราแนะนำ แล้วทำไมแรงงานต่างด้าวจึงต้องควรตรวจสุขภาพล่ะ ? ในวันนี้ โรงพยาบาลเออีซี (aechospital) จะมาแบ่งปันข้อมูลเรื่องนี้กัน สุขภาพเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญแรงงานต่างด้าวเองต้องทำงานอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีสภาวะอากาศไม่ปลอดโปร่งเหมือนแต่ก่อนด้วยฝุ่น PM 2.5 ดังนั้นจึงควรป้องกันด้วยการสวมหน้ากากอนามัย นอกจากนี้เพื่อความมั่นใจในร่างกายของตนเองจึงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อดูความสมบูรณ์ของร่างกายด้วย ไม่เพียงแค่เท่านั้นตลอดเวลาที่ผ่านมายังมีโรคระบาดที่เกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ ในหลาย ๆ ครั้งอาจมียาที่สามารถรักษาได้ แต่ในบางครั้งก็ไม่มียารักษาเช่นกัน ยิ่งเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้เห็นว่าการตรวจสุขภาพสำคัญเพียงใด หากเราละเลยการตรวจสุขภาพจะทำให้เราไม่รู้ถึงรายละเอียดของร่างกายตนเองและภาวะเสี่ยงโรคที่ซ่อนอยู่ เนื่องจากบางโรคต้องตรวจก่อนจึงจะพบและทำการรักษาต่อไปได้ ฟันเฟืองสำคัญของสถานประกอบการ สถานประกอบการน้อยใหญ่หลายแห่งต้องพึ่งแรงงานต่างด้าวในการทำงาน หากขาดพวกเขาจะส่งผลต่อกิจการได้โดยตรงยิ่งในช่วงที่สภาพอากาศที่เต็มไปด้วย PM 2.5 หรือโรคระบาดที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อทุกคนในสถานประกอบการ หากสถานประกอบการละเลยเรื่องสุขภาพของแรงงานต่างด้าวจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง คุณลองคิดภาพคนงาน 1 คนติดเชื้อไวรัสที่สามารถแพร่ระบาดได้ โดยไวรัสดังกล่าวแทบจะไม่แสดงอาการใด ๆ ให้เราสังเกตเห็นได้เลย และในเวลาต่อมาเพียงไม่กี่วันไวรัสดังกล่าวแพร่กระจายไปยังคนงานใกล้เคียงไปหลายคน ก่อนที่หลังจากนั้นคนงานที่ติดเชื้อคนแรกจะแสดงอาการออกมาจนสังเกตเห็นได้ แล้วพนักงานคนอื่น ๆ ล่ะ ? คงจะดีกว่าหากพนักงานทุกคนไม่ว่าจะเป็นต่างด้าวหรือไม่ได้รับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ราคาที่เอื้อมถึงได้ หลาย ๆ คนอาจเห็นว่าโปรแกรมตรวจสุขภาพมีราคาที่แตกต่างกัน และอาจคิดว่าการตรวจสุขภาพสำหรับแรงงานต่างด้าวอาจมีราคาสูง ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจ รวมถึงความปลอดภัยให้กับสถานประกอบการและเพื่อสุขภาพที่ดีของแรงงานต่างด้าว เราได้จัดโปรแกรมตรวจสุขภาพในราคาเพียง 500 บาทเท่านั้น เพื่อให้ทุกคนได้มีสุขภาพที่ดี เพราะเราอยากให้ทุกคนมองว่าสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ ใบรับรองแพทย์สำหรับแรงงานต่างด้าว ในการขอรับใบรับรองแพทย์ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแรงงานต่างด้าว เนื่องจากจำเป็นต้องนำไปยื่นเพื่อดำเนินการขอใบอนุญาตในการทำงานที่กระทรวงแรงงานต่อไป โดยผู้เข้ารับการตรวจสามารถยืนยันตัวตนเพื่อตรวจสุขภาพโดยใช้ Passport เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นหากไม่ทำการตรวจสุขภาพก็เท่ากับว่าจะไม่มีใบรับรองแพทย์เพื่อใช้ยื่นขอใบอนุญาตในการทำงานนั่นเอง ขอขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลเพชรเวช
ไข้หวัดใหญ่ อันตรายกว่าที่คิด
ด้วยอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย อาจส่งผลให้มีอาการป่วยเป็นไข้หวัดได้ง่าย และมักเกิดขึ้นบ่อย ๆ โรคไข้หวัดใหญ่ก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่ระบาดในเด็กเป็นจํานวนมากโดยเป็นโรคที่พบได้ตลอดทั้งปี ในวันนี้ โรงพยาบาลเออีซี (aechospital) จะมาแบ่งปันข้อมูลที่ควรรู้ เกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่นี้กัน ไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza Virus) โดยเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล สามารถจําแนก ออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ ชนิด A, B และ C โดยแต่ละชนิดยังแบ่งเป็นพันธุ์ย่อยๆ อีกหลายชนิด โดยสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยที่มีอาการรุนแรง คือ ชนิด A และ B ส่วน สายพันธุ์ชนิด C มักไม่รุนแรง และพบประปราย มาทำความรู้จักโรคไข้หวัดใหญ่กันให้มากขึ้น โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza Virus) ซึ่งเชื้อนี้มีหลายชนิดมากพอที่จะทำให้สามารถแยกไข้หวัดใหญ่ในคนได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1. ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่พบกันมานานแล้ว แต่เชื้อโรคมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมได้ตลอดเวลา ทำให้คนที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ไปแล้วสามารถป่วยได้อีก อาการมักจะไม่รุนแรง เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันอยู่บ้าง 2. ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ชนิด เอช 1 เอ็น 1 (H1N1) ที่กลายพันธุ์จากเชื้อไวรัสตัวเดิมมาก จึงทำให้คนส่วนใหญ่ไม่มีภูมิคุ้มกันและติดเชื้อในวงกว้าง ปัจจุบันได้กลายเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่พบปะปนกับสายพันธุ์ต่าง ๆ ทั่วไป อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดใหญ่จะแสดงอาการ ไข้สูง ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีกล้ามเนื้ออักเสบ และอาการทางระบบหายใจตั้งเเต่ นํ้ามูก ไอมาก หรือ หากรุนเเรง อาจมีอาการหอบเหนื่อย ปอดอักเสบ เสียชีวิต และอาจมีอาการที่ระบบอื่นอย่าง ระบบประสาท เช่น ไข้สูงเเล้วชัก ซึม หรือ ไข้สมองอักเสบได้ โดยทั่วไปหากเด็กปกติที่มีสุขภาพดีติดเชื้อไข้หวัดใหญ่มักจะหายได้เองใน 7 วัน เเต่มีบางรายเกิดการติดเชื้อเเล้ว แสดงอาการรุนเเรงตามที่ กล่าวมา ส่วนเด็กที่มีโรคประจําตัว เช่น โรคหืด โรคหัวใจ เด็กที่ต้องกินยา Aspirin หรือในเด็กเล็กกว่า 2 ปี มีความเสี่ยงใน การเกิดการติดเชื้อที รุนแรง และเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่า ไข้หวัดใหญ่ป้องกันได้อย่างไร 1.หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ ทั้งผู้ที่ป่วยและไม่ป่วย 2.ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น 3.ไม่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด หรือถ้าจำเป็นควรปิดปาก จมูกด้วยหน้ากากอนามัย 4.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นพวกผัก ผลไม้ นม ไข่ กินอาหารปรุงสุกใหม่ ๆ และใช้ช้อนกลาง 5.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 6.ดื่มน้ำสะอาด 7.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 8.หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดและอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น 9.ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เพิ่มเติมจากตารางฉีดวัคซีนตามปกติ แนะนำให้ฉีดกับคนกลุ่มเสี่ยงได้แก่ คนอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป หรือเด็กตั้งแต่อายุ 6 เดือน – 19 ปี คนที่เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด ผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยที่จะต้องไปคลินิกหรือไปโรงพยาบาลบ่อย ๆ ช่วงฤดูไข้หวัด ผู้ที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาล คนที่กินยาที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น แม้ไข้หวัดใหญ่จะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ถ้าเรารู้เท่าทันและป้องกันตัวเอง ไข้หวัดใหญ่ก็ไม่ใช่โรคที่น่ากลัวอีกต่อไป ขอขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลวัฒนแพทย์ อ่าวนาง
PM 2.5 ภัยร้าย...อันตรายต่อสมอง
PM 2.5 ภัยร้าย...อันตรายต่อสมอง ภาวะมลพิษทางอากาศ ประกอบไปด้วยสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นคาร์บอนมอนอกไซด์ ตะกั่ว ไนโตรเจนไดออกไซด์ โอโซน และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ รวมถึงฝุ่น PM 2.5 ที่เป็นตัวชี้วัดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งเจ้า PM 2.5 ที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้เป็นตัวที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเป็นอย่างมากเสียจนเราอาจคาดไม่ถึง ในปี 2560 มีข้อมูลพบว่าประชากรจำนวน 4.9 ล้านคนทั่วโลกเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศและฝุ่น PM 2.5 คิดเป็น 60% ของการเสียชีวิตเลยทีเดียว (GBD 2017 Risk Factor Collaborators, 2018) ดังนั้นเราคงต้องกลับมาใส่ใจเรื่องปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดจาก PM 2.5 วันนี้ โรงพยาบาลเออีซี (aechospital) จะมาแบ่งปันข้อมูลของ PM 2.5 ให้ทุกคนได้ระวังภัยร้ายของ PM 2.5 กันให้มากขึ้น รู้หรือไม่ PM 2.5 ส่งผลต่อสมองทั้งในระยะสั้นและระยะยาว Particulate Matter 2.5 หรือที่เราเรียกกันสั้นๆว่า PM 2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 ไมโครมิเตอร์หรือเล็กกว่า ซึ่งอนุภาคขนาดเล็กเหล่านี้สามารถผ่านการกรองของขนจมูกเข้าไปสู่ชั้นในสุดของปอดได้ ทำให้ให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ หัวใจและหลอดเลือด หรือมะเร็งปอด ไม่เพียงเท่านี้ PM 2.5 ยังส่งผลต่อสมองอีกด้วย ในปัจจุบันเริ่มมีงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า การสัมผัสกับ PM 2.5 อาจส่งผลเสียต่อสมองทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งคนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่ได้ตระหนักถึงกันมากนักในเรื่องนี้ เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าฝุ่นละอองขนาดเล็กนี้จะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจและมะเร็งเท่านั้น แต่…อย่างที่เรารู้กันว่า "สมอง" มีความสำคัญต่อร่างกายไม่น้อยไปกว่าอวัยวะอื่นใด เช่นนี้แล้วเรามาดูกันว่าฝุ่น PM 2.5 ส่งผลต่อสมองของเราอย่างไรกันบ้าง ความบกพร่องทางสติปัญญา (Cognitive Impairment): มีการศึกษาพบว่า PM 2.5 ทำให้สมรรถนะการทำงานของสมองด้านความรู้ความเข้าใจ (Cognitive Function) ลดลงโดยเฉพาะในผู้สูงอายุและเด็ก ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านความจำ ด้านความสนใจและจดจ่อ รวมถึงมีความสามารถในการแก้ปัญหาที่ลดลง ภาวะการอักเสบในสมอง: ฝุ่นละออง PM 2.5 ทำให้เกิดภาวะการอักเสบในสมองได้ เชื่อกันว่าการอักเสบส่งผลต่อการเกิดความผิดปกติทางระบบประสาทต่างๆ รวมถึงโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน และโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งอีกด้วย ผลกระทบด้านพัฒนาการ: การได้รับ PM 2.5 ในช่วงก่อนคลอดและในช่วงวัยเด็กมีความเกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางด้านระบบประสาทที่บกพร่องในเด็ก ทำให้ความสามารถในการเรียนรู้ลดลง และอาจเกิดโรคสมาธิสั้น (ADHD) และโรคออทิสติกได้ด้วย โรคทางสุขภาพจิต: มีบางการศึกษาเสนอความเชื่อมโยงกันระหว่างการสัมผัส PM 2.5 กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และปัญหาสุขภาพจิตด้านอื่นๆ โรคหลอดเลือดสมอง: การสัมผัสกับ PM 2.5 ในปริมาณสูงมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคหลอดเลือดสมอง เนื่องจากอนุภาคของฝุ่น PM 2.5 อาจทำให้เกิดการอักเสบและทำลายหลอดเลือดในสมองได้นั่นเอง นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ PM 2.5 ส่งผลคุกคามต่อสุขภาพสมองของเราเท่านั้น ยังมีอีกหลายงานวิจัยที่กำลังศึกษาถึงผลกระทบในด้านอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การหันกลับมาดูแลตัวเอง ป้องกันและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับ PM 2.5 คงเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่ควรละเลยอีกต่อไป ดูแลสมองโดยการป้องกัน PM 2.5 ในเมื่อเรายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาสถานการณ์ของ PM 2.5 ที่กำลังเผชิญในขณะนี้ให้หมดไปได้ เราคงทำได้เพียงหลีกเลี่ยงหรือลดการสัมผัสกับ PM 2.5 ให้ได้มากที่สุด เพื่อการดูแลและป้องกันสุขภาพสมองของเราจากภาวะมลพิษทางอากาศ hhc Thailand มีข้อแนะนำดังต่อไปนี้ ตรวจสอบระดับคุณภาพอากาศจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เป็นประจำ เช่น แอป Air4Thai ของกรมควบคุมมลพิษหรือแอปอื่นๆ บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เพื่อวางแผนในการทำกิจกรรมที่ต้องอยู่กลางแจ้งให้เหลือน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาเช้าและเย็นซึ่งมักจะเป็นช่วงเวลาที่มีมลพิษสูงสุดของวัน จำกัดกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังมากๆ กลางแจ้งในวันที่มีมลพิษสูง เช่น การวิ่ง การปั่นจักรยาน เนื่องจากการใช้กำลังมากจะส่งผลให้อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น ทำให้ร่างกายสามารถรับปริมาณ PM 2.5 ได้มากกว่าสภาวะปกติ สวมหน้ากากป้องกัน PM 2.5 หากจำเป็นต้องออกไปข้างนอกในช่วงวันที่มีมลพิษสูง ควรสวมหน้ากากที่กระชับและพอดีกับใบหน้าที่ออกแบบมาเพื่อกรองอนุภาค PM 2.5 ได้ เช่น หน้ากาก N95 หรือ N99 สร้างสภาพแวดล้อมภายในอาคารหรือที่พักอาศัยให้สะอาดและมีการระบายอากาศที่ดี โดยการไม่สูบบุหรี่และจุดธูปเทียนภายในอาคาร การปิดหน้าต่างและประตูในวันที่อากาศมีมลพิษสูงและใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรอง HEPA เพื่อกำจัดอนุภาค PM 2.5 ออกจากอากาศภายในอาคาร ปลูกต้นไม้ช่วยลดมลพิษ การปลูกต้นไม้สามารถช่วยดูดซับมลพิษรวมถึง PM 2.5 และช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศให้ดีขึ้นได้ แต่หากคุณมีพื้นที่ไม่มากพอที่จะปลูกต้นไม้ใหญ่ได้ การเลือกปลูกไม้ประดับที่ช่วยดูดสารพิษในอากาศได้ดีก็เป็นทางเลือกที่ดี เช่น พลูด่าง เศรษฐีเรือนใน วาสนาอธิษฐาน เป็นต้น หากเราทุกคนตระหนักถึงภัยคุกคามจากภาวะมลพิษทางกาอากาศรวมถึง PM 2.5 การป้องกันและหลีกเลี่ยงคงไม่เพียงพอ เราคงต้องช่วยกันลดการปลดปล่อยมลพิษต่างๆ ที่เกิดจากการดำเนินชีวิตประจำวันให้มากที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นโรคทางสมอง ทางเดินหายใจ หรือโรคมะเร็ง ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นที่ต้องการทั้งนั้น เริ่มต้นดูแล ใส่ใจตัวเองและสิ่งแวดล้อมในวันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีกันนะ ขอขอบคุณข้อมูลจาก : hhcthailand
อธิบดีกรมการจัดหางาน ลงพื้นที่สมุทรปราการและปทุมธานี ตรวจเยี่ยมศูนย์ CI เปิดให้บริการวันแรก
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน ตรวจเยี่ยมการให้บริการวันแรกของศูนย์บริหารจัดการการทำงานของแรงงานเมียนมาแบบเบ็ดเสร็จ จังหวัดสมุทรปราการ และศูนย์ฯ จังหวัดปทุมธานี เพื่อตรวจเยี่ยมขั้นตอนการให้บริการ รับฟังปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน พร้อมให้คำแนะนำการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่โดยมีนายสนธยา กาลาศรี จัดหางานจังหวัดระยอง รักษาราชการแทนจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการ และนายมงคล สงคราม จัดหางานจังหวัดปทุมธานี พร้อมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ โดยนายสมชายฯ เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน อำนวยความสะดวกให้ทางการเมียนมาเข้ามาดำเนินการจัดทำเอกสารรับรองบุคคล (Certificate of Identity : CI) สำหรับแรงงานเมียนมาตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 ที่ได้รับอนุญาตทำงานจนถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 และได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2567 ที่ยังไม่มีหนังสือเดินทางหรือมีเอกสารรับรองบุคคลที่หมดอายุ หรือกำลังจะหมดอายุ โดยจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการการทำงานของแรงงานเมียนมาแบบเบ็ดเสร็จ ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ชลบุรี สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่ นครสวรรค์ และสงขลา สามารถรองรับผู้ใช้บริการวันละ 800 - 1,000 คน มีกำหนดเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ - 31 ตุลาคม 2567 ในวันจันทร์ - วันเสาร์ เวลา 09.00 -17.30 น. และปิดให้บริการในวันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยให้บริการทั้งรูปแบบศูนย์ ONE STOP SERVICE และรูปแบบรถ Mobile Team สำหรับแรงงานเมียนมาที่ต้องการเข้ารับบริการให้เตรียมสำเนาหลักฐานการได้รับอนุญาตทำงานถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ติดต่อนัดหมาย วัน เวลา ที่จะเข้าใช้บริการศูนย์ฯ พร้อมชำระค่าธรรมเนียมเอกสารรับรองบุคคลคล(CI) ของทางการเมียนมา ณ จุดบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิส 7-eleven ก่อนเข้าใช้บริการ นายสมชายฯ กล่าวว่า สำหรับศูนย์บริหารจัดการการทำงานของแรงงานเมียนมาแบบเบ็ดเสร็จ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัดที่มีแรงงานเมียนมาทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก พื้นที่ให้บริการครอบคลุมทุกภาคทั่วประเทศไทย เพื่อให้นายจ้างและแรงงานเมียนมาได้รับความสะดวก ประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยสามารถเลือกใช้บริการศูนย์ฯ ตามความสะดวก ดังนี้ 1. จังหวัดชลบุรี สถานที่ตั้ง ตลาดนัดสยามนินจา(โป่งตามุข) 116 ม.1 ต.หนองหงษ์ อ.พานทอง จ.ชลบุรี 2. จังหวัดเชียงใหม่ สถานที่ตั้ง อาคารไดนาสตี้แลนด์ 34-34 ม.6 ต.แม่สา อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 3. จังหวัดนครสวรรค์ สถานที่ตั้ง 127 ม.2 ต.กลางแดด อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ 4. จังหวัดปทุมธานี สถานที่ตั้ง ตลาดกลางเกษตรอินทรีย์ท้ายเกาะ BO26-30 55/21 ม.4 ต.ท้ายเกาะ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี 5. จังหวัดสงขลา สถานที่ตั้ง ตลาดฟุกเทียน 99 หมู่3 ต.คลองแห อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 6. จังหวัดสมุทรปราการ สถานที่ตั้ง 339/2 ม.9 ซอยสุขสวัสดิ์ 74 ต.บางจาก อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ 7. จังหวัดสมุทรสาคร สถานที่ตั้ง ตลาดทะเลไทย 1/2 ม.1 ถ.พระราม 2 ต.ท่าจีน อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร 8. จังหวัดสุราษฎร์ธานี สถานที่ตั้ง มหาวิทยาลัยตาปี วิทยาเขตพุนพิน 45/45 ม.1 ต.มะลวน อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ทั้งนี้ นายจ้าง/สถานประกอบการ และแรงงานข้ามชาติ ที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694
สถานที่ศูนย์พิสูจน์สัญชาติพม่า ประจำปี 2567
1.ศูนย์พิสูจน์สัญชาติพม่าจังหวัดสมุทรสาคร ศูนย์บริหารจัดการการทำงานของแรงงานเมียนมาแบบเบ็ดเสร็จตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 จังหวัดสมุทรสาคร สถานที่ตั้ง ตลาดทะเลไทย เลขที่ 1/2 หมู่ที่ 1 ถนนพระราม 2 ตำบลท่าจีน อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร 2. ศูนย์พิสูจน์สัญชาติพม่าจังหวัดสมุทรปราการ ศูนย์บริหารจัดการการทำงานของแรงงานเมียนมาแบบเบ็ดเสร็จตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 จังหวัดสมุทรปราการ สถานที่ตั้ง 339/2 หมู่ที่ 9 ซอยสุขสวัสดิ์ 74 ตำบลบางจาก อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ 3. ศูนย์พิสูจน์สัญชาติพม่าจังหวัดชลบุรี ศูนย์บริหารจัดการการทำงานของแรงงานเมียนมาแบบเบ็ดเสร็จตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 จังหวัดสมุทรปราการ สถานที่ตั้ง 339/2 หมู่ที่ 9 ซอยสุขสวัสดิ์ 74 ตำบลบางจาก อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ 4. ศูนย์พิสูจน์สัญชาติพม่าจังหวัดปทุมธานี ศูนย์บริหารจัดการการทำงานของแรงงานเมียนมาแบบเบ็ดเสร็จตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 จังหวัดปทุมธานี สถานที่ตั้ง ตลาดกลางเกษตรอินทรีย์ท้ายเกาะ B026-30 เลขที่ 55/21 หมู่ที่ 4 ตำบลท้ายเกาะ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี 5. ศูนย์พิสูจน์สัญชาติพม่าจังหวัดสุราษฎร์ธานี ศูนย์บริหารจัดการการทำงานของแรงงานเมียนมาแบบเบ็ดเสร็จตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 จังหวัดสุราษฎร์ธานี สถานที่ตั้งมหาวิทยาลัยตาปี วิทยาเขตพุนพิน เลขที่ 45/45 หมู่ที่ 1 ตำบลมะลวน อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี 6. ศูนย์พิสูจน์สัญชาติพม่าจังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์บริหารจัดการการทำงานของแรงงานเมียนมาแบบเบ็ดเสร็จตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 จังหวัดเชียงใหม่ สถานที่ตั้ง อาคารไดนาสตี้แลนด์ 34-34 หมู่ที่ 6 ตำบลแม่สา อำเภอแมริม จังหวัดเชียงใหม่ 7. ศูนย์พิสูจน์สัญชาติพม่าจังหวัดนครสวรรค์ ศูนย์บริหารจัดการการทำงานของแรงงานเมียนมาแบบเบ็ดเสร็จตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 จังหวัดนครสวรรค์ สถานที่ตั้ง 127 หมู่ที่ 2 ตำบลกลางแดด อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ 8. ศูนย์พิสูจน์สัญชาติพม่าจังหวัดสงขลา ศูนย์บริหารจัดการการทำงานของแรงงานเมียนมาแบบเบ็ดเสร็จตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 จังหวัดสงขลา สถานที่ตั้ง ตลาดฟุกเทียน เลขที่ 99 หมู่ที่ 3 ตำบลคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา